บริการให้คำปรึกษารับยื่นวีซ่าประเทศสหรัฐอเมริกา
United States of America Visa Service in Thailand
United States of America Visa Service in Thailand
NYC Visa Service มีประสบการณ์ในการทำวีซ่าประเทศสหรัฐอเมริกา มาเป็นเวลามากกว่ากว่าสิบปี โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการคำปรึกษาท่านตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกา วีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีบริการแปลเอกสารต่างๆ ทุกประเภท นอกจากนี้เรามีบริการให้คำปรึกษาในการยื่นขอวีซ่า วิเคราะห์ปัญหาของผู้ต้องการยื่นวีซ่า ประเมินโอกาสในการยื่นขอวีซ่าของท่านให้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องและเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ของผู้ขอยื่นวีซ่า และเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการเราได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เรายังมีบริการเป็นตัวแทนยื่นขอวีซ่าให้กับท่าน เป็นตัวแทนไปรับวีซ่าแทนท่าน และบริการจัดส่งเอกสารสำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดอีกด้วย
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ,
รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ,
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ NYC Visa Service ซึ่งเป็นเชี่ยวชาญให้บริการทางด้านรับทำวีซ่าและกฎหมายการตรวจคนเข้าเมืองโดยตรงของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America Visa Service in Thailand) เราเปิดให้บริการ รับปรึกษา รับยื่น รับทำ รับยื่นแก้วีซ่าไม่ผ่านทุกประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือทุกท่านให้ได้รับวีซ่าได้ตามต้องการการ กับประเทศที่ต้องการจะเดินทาง จน NYC Visa Service ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในการได้รับอนุมัติวีซ่าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากทางเรามีบริการหลากหลายรูปแบบไว้อำนวยความสะดวกแก่ท่าน มีทีมงานมืออาชีพ เราเปิดให้บริการมายาวนานมากกว่า12 ปี และมีศูนย์บริการอยู่ทั่วประเทศมากถึง 12 ศูนย์ และยังมีการขยายงานเปิดศูนย์เพิ่มเติมทั่วประเทศเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้บริการ เราเป็นตัวกลางในการยื่นของวีซ่ากับสถานทูตแต่ล่ะประเทศ สำหรับทุกท่านที่พบปัญหา เพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจรูปแบบปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด จึงทำให้ท่านประหยัดเวลา รวมไปถึงความแน่นอนในการได้รับวีซ่า
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ,
รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ,
จากการที่ NYC Visa Service มีความชำนาญในเรื่องกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America Visa Service in Thailand) จึงทำให้ได้รับการอนุมัติวีซ่าเร็วและง่ายขึ้น จึงพร้อมดำเนินการให้แก่ท่าน ตั้งแต่จัดเตรียมเอกสาร ประเมินแนะนำขั้นตอน พร้อมแก้ปัญหาที่จะเกิด การเตรียมตัว รวมไปถึงดูแลยื่นเอกสารที่สถานทูตในแต่ล่ะประเทศ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เราสามารถให้คำปรึกษา และบริการยื่นวีซ่าให้คุณได้ รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ,
NYC Visa Service มีประสบการณ์ในการทำวีซ่ามาเป็นเวลามากกว่ากว่าสิบปี โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการคำปรึกษาท่านตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นวีซ่าท่องเที่ยว วีซ่าเยี่ยมญาติ วีซ่าเยี่ยมเพื่อน วีซ่านักเรียน วีซ่าถาวร วีซ่าแต่งงาน วีซ่าคู่หมั้น วีซ่าย้ายถิ่นฐาน วีซ่าติดตาม วีซ่าทำงาน วีซ่าดูงาน วีซ่าฝึกงาน วีซ่าธุรกิจ ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States of America Visa Service in Thailand) นอกจากนี้ยังมีบริการแปลเอกสารต่าง ๆ ทุกประเภท นอกจากนี้เรามีบริการให้คำปรึกษาในการยื่นขอวีซ่า วิเคราะห์ปัญหาของผู้ต้องการยื่นวีซ่า ประเมินโอกาสในการยื่นขอวีซ่าของท่านให้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องและเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ของผู้ขอยื่นวีซ่า และเพื่อให้ลูกค้าทุกท่านที่เข้ามาใช้บริการเราได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เรายังมีบริการเป็นตัวแทนยื่นขอวีซ่าให้กับท่าน เป็นตัวแทนไปรับวีซ่าแทนท่าน และบริการจัดส่งเอกสารสำหรับท่านที่อยู่ต่างจังหวัดอีกด้วย ให้ NYC Visa Service ของเราเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลการดำเนินการขอยื่นวีซ่าสหรัฐอเมริกา (United States of America Visa Service in Thailand) ของท่าน ทีมงานของเราจะดูแลตั้งแต่ปัญหาพื้นฐาน การจัดเตรียมเอกสาร เป็นตัวแทนเพื่อยื่นขอวีซ่าของคุณ เราจะดูแลและติดตามผลหลังการให้บริการอย่างดีที่สุด
สหรัฐจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา)
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา
สหรัฐอเมริกา
United States of America (อังกฤษ)
คำขวัญ: In God We Trust
เพลงชาติ: The Star-Spangled Banner
MENU
0:00
มาร์ช: "The Stars and Stripes Forever"[1]
MENU
0:00
ที่ตั้งของสหรัฐแผ่นดินใหญ่รวมถึงรัฐอะแลสกาและรัฐฮาวาย
เมืองหลวงวอชิงตัน ดี.ซี.
38°53′N 77°01′W
เมืองใหญ่สุดนครนิวยอร์ก
40°43′N 74°00′W
ภาษาราชการไม่มีในระดับสหพันธรัฐ[fn 1]
ภาษาประจำชาติภาษาอังกฤษ[fn 2]
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญระบบประธานาธิบดี
• ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์
• รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์
นิติบัญญัติรัฐสภา
• สภาสูงวุฒิสภา
• สภาล่างสภาผู้แทนราษฎร
ประกาศเอกราชจากบริเตนใหญ่
• ประกาศ4 กรกฎาคม 1776
• สนธิสัญญาปารีส3 กันยายน 1783
• รัฐธรรมนูญ21 มิถุนายน 1788
• องค์การการเมืองเข้าล่าสุด24 มีนาคม 1976
พื้นที่
• รวม9,629,091 ตร.กม. (4)
3,718,711 ตร.ไมล์
• แหล่งน้ำ (%)4.87
ประชากร
• 2561 (ประเมิน)328,173,000[4] (3)
• 2553 (สำมะโน)309,349,689[5] (3)
• ความหนาแน่น34.2 คน/ตร.กม. (180)
90.6 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ)2560 (ประมาณ)
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
• ต่อหัว$ 59,495
จีดีพี (ราคาตลาด)2560 (ประมาณ)
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
• ต่อหัว$ 59,495
จีนี (2556)41.0[6]
HDI (2559) 0.920 (สูงมาก) (10th)
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ($) (USD)
เขตเวลา(UTC−4 to −12, +10, +11)
• ฤดูร้อน (DST) (UTC−4 to −10)
ขับรถด้านขวามือ
โดเมนบนสุด.us .gov .mil .edu
เว็บไซต์ทางการ
usa.gov
รหัสโทรศัพท์1
บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
สหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: United States of America) โดยทั่วไปเรียก สหรัฐ (United States) หรือ อเมริกา (America) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง ห้าดินแดนปกครองตนเองสำคัญ และเกาะเล็กต่าง ๆ[fn 3] โดย 48 รัฐและเขตปกครองกลางตั้งอยู่ ณ ทวีปอเมริกาเหนือระหว่างประเทศแคนาดาและเม็กซิโก รัฐอะแลสกาอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ มีเขตแดนติดต่อกับประเทศแคนาดาทางทิศตะวันออกและข้ามช่องแคบเบริงจากประเทศรัสเซียทางทิศตะวันตก และรัฐฮาวายเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง ดินแดนของสหรัฐกระจายอยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียนครอบคลุมเขตเวลาเก้าเขต ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศและสัตว์ป่าของประเทศหลากหลายอย่างยิ่ง[8]
สหรัฐมีพื้นที่ขนาด 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 326 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก[fn 4]และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเป็นที่พำนักของประชากรเข้าเมืองใหญ่สุดในโลก[13] การมีลักษณะแบบเมืองทะยานเกิน 80% ในปี ค.ศ. 2010 และนำสู่มหภาค (megaregion) ที่เติบโตขึ้น เมืองหลวงของประเทศ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่สุดคือ นครนิวยอร์ก
อินเดียนดึกดำบรรพ์จากยูเรเชียย้ายถิ่นมาแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 15,000 ปีก่อน การยึดเป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจาก 13 อาณานิคมของบริเตนตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทหลายครั้งระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมหลังสงครามเจ็ดปีนำสู่การปฏิวัติอเมริกาซึ่งเริ่มในปี ค.ศ. 1775 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับคำประกาศอิสรภาพเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติในปี ค.ศ. 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย[14][15][16] มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศในปี ค.ศ. 1788 หลังบทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งมีการลงมติรับในปี 1781 รู้สึกว่าให้อำนาจแก่สหพันธรัฐไม่เพียงพอ ในปี 1791 มีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ซึ่งออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ
สหรัฐเริ่มขยายดินแดนอย่างแข็งขันทั่วทวีปอเมริกาเหนือตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขับไล่เผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซื้อดินแดนใหม่ และค่อย ๆ รับรัฐใหม่จนขยายทั่วทวีปในปี ค.ศ. 1848[17] ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองอเมริกานำให้ยุติความเป็นทาสตามกฎหมายในประเทศ[18][19] เมื่อถึงสิ้นศตวรรษนั้น สหรัฐขยายเข้ามหาสมุทรแปซิฟิก[20] และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว[21] สงครามสเปน–อเมริกาและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันสถานภาพมหาอำนาจทางทหารโลกของสหรัฐ สหรัฐกำเนิดจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอภิมหาอำนาจโลก ประเทศแรกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังสงครามเย็นสิ้นสุดและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก[22]
สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาสูง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตามจีดีพีราคาตลาด อยู่ในอันดับต้น ๆ ในการวัดสมรรถภาพสังคมเศรษฐกิจหลายรายการ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างเฉลี่ย[23] การพัฒนามนุษย์ จีดีพีต่อหัวและผลิตภาพต่อคน[24] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าเป็นหลังอุตสาหกรรม (post-industrial) ซึ่งมีลักษณะที่บริการและเศรษฐกิจความรู้ครอบงำ แต่ภาคการผลิตยังมีขนาดใหญ่สุดอันดับสองของโลก[25] แม้มีประชากรรวมเพียง 4.3% ของโลก[26] แต่สหรัฐคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีโลก[27] และกว่าหนึ่งในสามของรายจ่ายทางทหารโลก[28] ทำให้เป็นชาติเศรษฐกิจและการทหารแนวหน้า สหรัฐเป็นประเทศการเมืองและวัฒนธรรมโดดเด่น และผู้นำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยี[29]
เนื้อหา
เดิมอดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319[33] ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งตั้งขึ้นนี้ เรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วย
สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"[34] ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซมอินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ ตำรวจโลก
ภาษาศาสตร์[แก้]ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า Americanและ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา[35]
เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) — รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) — หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"[36]
ประวัติศาสตร์[แก้]ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์สหรัฐชนพื้นเมืองและประวัติศาสตร์ยุคก่อนโคลัมบัส[แก้]
การสร้างใหม่ของศิลปินซึ่งแหล่งคินเคดจากวัฒนธรรมมิสซิสซิปปีก่อนประวัติศาสตร์ ตามที่อาจปรากฏ[37]ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนือคนแรก ๆ ย้ายถิ่นจากไซบีเรียโดยทางสะพานบกเบริงและมาถึงอย่างน้อย 15,000 ปีมาแล้ว แม้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่เสนอว่าอาจมาถึงก่อนหน้านั้นอีก[38] หลังข้ามสะพานบกแล้ว ชาวอเมริกันกลุ่มแรกย้ายลงใต้ โดยอาจตามชายฝั่งแปซิฟิก[39][40] หรือผ่านหิ้งปลอดน้ำแข็งในแผ่นดินระหว่างหิ้งน้ำแข็งคอร์ดิลเลอร์แรน (Cordilleran) และลอเรนไทด์ (Laurentide)[41]วัฒนธรรมโคลวิสปรากฏประมาณ 11,000 ปีก่อน ค.ศ. และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของวัฒนธรรมพื้นเมืองสมัยหลังของทวีปอเมริกาส่วนใหญ่[42] แม้คิดกันตลอดปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่าวัฒนธรรมโคลวิสเป็นตัวแทนของการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งแรกในทวีปอเมริกา[43] แต่ในช่วงปีหลัง ๆ ได้เปลี่ยนมาตระหนักถึงวัฒนธรรมก่อนโคลวิส[44]
ต่อมา วัฒนธรรมพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และบางวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีสมัยก่อนโคลัมบัสในทางตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการกสิกรรมก้าวหน้า สถาปัตยกรรมใหญ่ และสังคมระดับรัฐ[45] ตั้งแต่ประมาณปี 800 ถึง 1600[46] วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีเฟื่องฟู และนครใหญ่สุด คะโฮเคีย (Cahokia) ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในสหรัฐปัจจุบัน[47] ในภูมิภาคเกรตเลกส์ทางใต้ มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐอิระควอยในบางช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12[48] ถึง 15[49]และอยู่มาจนสิ้นสงครามปฏิวัติ[50]
การตั้งถิ่นฐานหมู่เกาะฮาวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นยังเป็นหัวข้อการถกเถียงที่ยังดำเนินอยู่[51] หลักฐานโบราณคดีดูเหมือนบ่งชี้ว่ามีนิคมตั้งแต่ปี 124[52] ระหว่างการเดินเรือครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย กัปตันเจมส์ คุกเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เริ่มการติดต่อกับฮาวายอยางเป็นทางการ[53] หลังการขึ้นฝั่งครั้งแรกในเดือนมกราคม 1778 ที่ท่าไวเมีย เกาะคาไว คุกตั้งชื่อกลุ่มเกาะนี้วา "หมู่เกาะแซนด์วิช" ตามเอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช รักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือของราชนาวีบริติช[54]
นิคมยุโรป[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในทวีปอเมริกา และ สิบสามอาณานิคม
นักสำรวจชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิหลังสเปนส่งโคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่โลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่างควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี ค.ศ. 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่างเซนต์ออกัสตีน[55] และแซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วยอาณานิคมเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1607 ที่เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี ค.ศ. 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี ค.ศ. 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา[56][57]
ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก[58] สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก[59]
การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น[60] การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว[61][62] สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่งแยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส[63][64] แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้[65]
ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี ค.ศ. 1732 จึงมีการสถาปนาสิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา[66] ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุนสาธารณรัฐนิยม[67] ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง[68] ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา[69]
ระหว่างสงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี ค.ศ. 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล[70] ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ[71]
ในปี ค.ศ. 1774 เรือกองทัพเรือสเปน ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือกแอบะโลนีจากแคลิฟอร์เนีย[72] ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่โปรตุเกส เมื่อชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นในอะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ[73][fn 5]
หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนในอัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ[75] ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา[76]
ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง[แก้]ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น[77] ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่างโรคฝีดาษและโรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ[78][79][80][81][82][83]
ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น[84] ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป[85][86]
การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่งเมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา[87]
เอกราชและการขยายอาณาเขต[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การปฏิวัติอเมริกา, สงครามปฏิวัติอเมริกา และ เทพลิขิต
คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูลสงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม[88]
หลังการผ่านข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง สภาทวีปที่สองลงมติรับคำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ[89] ในปี ค.ศ. 1777 บทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) สถาปนารัฐบาลอ่อนที่ดำเนินการจนปี ค.ศ. 1789[89]
บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐหลังปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี ค.ศ. 1781[90] ในสนธิสัญญาสันติภาพปี ค.ศ. 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำการประชุมฟิลาเดลเฟียปี ค.ศ. 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี ค.ศ. 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี ค.ศ. 1789 จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี ค.ศ. 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ[91]
แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี ค.ศ. 1808 แต่หลังปี ค.ศ. 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุในดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย[92][93][94] การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800–1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส[95] ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และแบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส[96]
ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลาความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ[97] การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี ค.ศ. 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว[98] สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ[99] ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 1819[100] การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไอน้ำ เมื่อเรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ[101]
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854 เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสในปี ค.ศ. 1845 ระหว่างสมัยเทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน[102] สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน[103] ชัยในสงครามเม็กซิโก–อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน[104]
การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี ค.ศ. 1848–1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม[105] หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น[106] กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม[107] ในปี ค.ศ. 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 1900[108]
สงครามกลางเมืองและสมัยบูรณะ[แก้]ดูบทความหลักที่: สงครามกลางเมืองอเมริกา และ สมัยบูรณะ
ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียระหว่างสงครามกลางเมือง โดย Thure de Thulstrupข้อแตกต่างของความเห็นและระเบียบสังคมระหว่างรัฐภาคเหนือและภาคใต้ในสังคมสหรัฐช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับทาสผิวดำ จนสุดท้ายนำสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา[109] เดิมทีรัฐเข้าสู่สหภาพสลับกันระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเพื่อรักษาสมดุลภาคในวุฒิสภา ขณะที่รัฐเสรีมีประชากรมากกว่ารัฐทาสและมีผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ด้วยมีดินแดนตะวันตกและรัฐเสรีเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีสูงขึ้นด้วยการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบสหพันธรัฐ การโอนการครอบครองดินแดน ควรขยายหรือจำกัดความเป็นทาสหรือไม่และอย่างไร[110]
อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. 1860 ประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านความเป็นทาส สุดท้ายการประชุมในสิบสามรัฐทาสประกาศแยกตัวออกและตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา ขณะที่รัฐบาลกลางยืนยันว่าการแยกตัวออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย[110] สงครามที่เกิดขึ้นให้หลังนั้นทีแรกเป็นสงครามเพื่อรักษาสหภาพ และหลังจากปี ค.ศ. 1863 เมื่อกำลังพลสูญเสียเพิ่มขึ้นและลินคอล์นออกประกาศปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Emancipation Proclamation) เป้าหมายสงครามที่สองกลายเป็นการเลิกทาส สงครามนี้เป็นความขัดแย้งทางทหารที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้มีทหารเสียชีวิตประมาณ 618,000 คนและพลเรือนอีกเป็นอันมาก[111]
หลังฝ่ายสหภาพมีชัยในปี 1865 มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐสามครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 13 ห้ามความเป็นทาส การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 มอบความเป็นพลเมืองแก่แอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาสเกือบสี่ล้านคน[112] และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 รับประกันว่าพวกเขามีสิทธิออกเสียงลงคะแนน สงครามและผลลัพธ์นำสู่การเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางอย่างมากโดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการและสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้ขณะที่รับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท สงครามและผลนำสู่การเพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางอย่างสำคัญ[113] โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการใหม่และสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้พร้อมกับรับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท
นักอนุรักษนิยมผิวขาวภาคใต้ซึ่งเรียกตนว่า "ผู้ไถ่" (Redeemer) เข้าควบคุมหลังสิ้นสุดการบูรณะ เมื่อถึงช่วงปี 1890–1910 กฎหมายจิม โครว์พรากสิทธิออกเสียงลงคะแนนคนผิวดำส่วนใหญ่และคนขาวยากจนบางส่วน คนดำเผชิญการแบ่งแยกทางเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้[114] ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติบางครั้งเผชิญการลงประชาทัณฑ์[115]
การปรับให้เป็นอุตสาหกรรม[แก้]
เกาะเอลลิสในนครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป[116]ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม[117] โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและโทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง[118]
การสิ้นสุดของสงครามอินเดียนยิ่งขยายพื้นที่ภายใต้การเพาะปลูกโดยใช้เครื่องจักร เพิ่มส่วนเกินสำหรับตลาดระหว่างประเทศ[119] การขยายดินแดนแผ่นดินใหญ่สำเร็จด้วยการซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซียในปี 1867[120] ในปี 1893 ส่วนนิยมอเมริกาในฮาวายล้มราชาธิปไตยและตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ซึ่งสหรัฐผนวกในปี 1898 สเปนยกปวยร์โตรีโก กวมและฟิลิปปินส์ให้สหรัฐในปีเดียวกันหลังสงครามสเปน–อเมริกา[121]
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วยให้นักอุตสาหกรรมโดดเด่นจำนวนมากเฟื่องฟูขึ้น นักธุรกิจใหญ่อย่างคอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์, จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์และแอนดรูว์ คาร์เนกีนำความก้าวหน้าของชาติในอุตสาหกรรมรางรถไฟ ปิโตรเลียมและเหล็กกล้า การธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเจ. พี. มอร์แกนมีบทบาทเด่น ทอมัส เอดิสันและนิโคลา เทสลาทำให้ไฟฟ้ากระจายแพร่หลายสู่อุตสาหกรรม บ้านเรือนและสำหรับการให้แสงสว่างตามถนน เฮนรี ฟอร์ดปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสหรัฐได้สถานภาพมหาอำนาจ[122] การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้กอปรกับความไม่สงบทางสังคมและความเจริญของขบวนการประชานิยม สังคมนิยมและอนาธิปไตย[123] สุดท้ายสมัยนี้สิ้นสุดลงด้วยการมาของสมัยก้าวหน้า (Progressive Era) ซึ่งมีการปฏิรูปสำคัญในสังคมหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี การห้ามแอลกอฮอล์ การกำกับสินค้าบริโภค มาตรการป้องกันการผูกขาดที่มากขึ้นเพื่อประกันการแข่งขันและความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงาน[124][125][126]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง[แก้]
ฝูงชนชุมนุมกันที่วอลล์สตรีทหลังเหตุหลักทรัพย์ตกปี 1929สหรัฐวางตนเป็นกลางตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุในปี ค.ศ. 1914 จนถึงปี ค.ศ. 1917 เมื่อเข้าร่วมสงครามเป็น "ชาติสมทบ" ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยช่วยเปลี่ยนทิศทางของสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในปี 1919 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันรับบทบาทการทูตนำ ณ การประชุมสันติภาพปารีสและสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สหรัฐเข้าร่วมสันนิบาตชาติ ทว่า วุฒิสภาปฏิเสธไม่อนุมัติและไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งสถาปนาสันนิบาตชาติ[127]
ในปี ค.ศ. 1920 ขบวนการสิทธิสตรีชนะการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี[128] คริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 มีความเจริญเติบโตของสื่อสารมวลชนประเภทวิทยุและมีการประดิษฐ์โทรทัศน์ขึ้นในยุคแรก[129] ความเฟื่องฟูของทเวนตีร้องคำราม (Roaring Twenties) สิ้นสุดด้วยเหตุการณ์วอลล์สตรีทตกปี 1929 และการเริ่มต้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1932 เขาสนองด้วยข้อตกลงใหม่ (New Deal) ซึ่งรวมการสถาปนาระบบหลักประกันสังคม[130] การย้ายถิ่นใหญ่ของแอฟริกันอเมริกันหลายล้านคนจากภาคใต้ของสหรัฐเริ่มก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและกินเวลาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960[131] ขณะที่ชามฝุ่น (Dust Bowl) กลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้ชุมชนกสิกรรมจำนวนมากยากจนและทำให้เกิดการย้ายถิ่นทางตะวันตกระลอกใหม่[132]
ทีแรกสหรัฐวางตนเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างที่เยอรมนีพิชิตทวีปยุโรปส่วนใหญ่ สหรัฐเริ่มจัดหาปัจจัยแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 ผ่านโครงการให้ยืม-เช่า วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 จักรวรรดิญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีอย่างจู่โจมต่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทำให้สหรัฐเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรสู้รบกับฝ่ายอักษะ[133] ระหว่างสงคราม สหรัฐถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน "สี่ตำรวจ"[134]แห่งฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ประชุมกันวางแผนโลกหลังสงคราม ร่วมกับบริเตน สหภาพโซเวียตและจีน[135] แม้สหรัฐเสียทหารกว่า 400,000 นาย[136] แต่แทบไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามและยิ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางทหารมากยิ่งขึ้นอีก[137]
สหรัฐมีบทบาทนำในการประชุมเบรตตันวูดส์และยัลตากับสหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นซึ่งลงนามความตกลงว่าด้วยสถาบันการเงินระหว่างประเทศใหม่และการจัดระเบียบใหม่หลังสงครามของทวีปยุโรป เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในทวีปยุโรปแล้ว การประชุมระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกในปี 1945 ได้ออกกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งมีผลใช้บังคับหลังสงคราม[138] สหรัฐพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกและใช้มันกับญี่ปุ่นในนครฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 2 กันยายน ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง[139][140]
สงครามเย็นและยุคสิทธิมนุษยชน[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1945–1964), ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1964–1980) และ ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1980–1991)
ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และเลขาธิการมีฮาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ในการประชุมที่เจนีวาในปี 1985หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและสหภาพโซเวียตประชันชิงอำนาจระหว่างสมัยสงครามเย็น ขับเคลื่อนด้วยการแบ่งแยกอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ทั้งสองครอบงำกิจการทหารของทวีปยุโรป โดยมีสหรัฐและพันธมิตรนาโต้ฝ่ายหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตรสนธิสัญญาวอร์ซออีกฝ่ายหนึ่ง สหรัฐพัฒนานโยบายการจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาต่อการขยายอิทธิพลตอมมิวนิสต์ ขณะที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่อสู้ในสงครามตัวแทนและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ทรงพลัง และสองประเทศเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง
สหรัฐมักคัดค้านขบวนการโลกที่สามซึ่งมองว่าโซเวียตสนับสนุน ทหารอเมริกันต่อสู้กำลังคอมมิวนิสต์จีนและเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลีปี ค.ศ. 1950–1953 การปล่อยดาวเทียมดวงแรกของสหภาพโซเวียตปี ค.ศ. 1957 และการปล่อยเที่ยวบินอวกาศที่มีมนุษย์โดยสารครั้งแรกในปี ค.ศ. 1961 เริ่ม "การแข่งขันอวกาศ" ซึ่งสหรัฐเป็นชาติแรกที่นำมนุษย์ลงจอดดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1969[141] สงครามตัวแทนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สุดท้ายกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนพัวพันเต็มตัวของอเมริกา เช่น สงครามเวียดนาม
ในประเทศ สหรัฐมีการขยายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของประชากรและชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐแปรสภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเวลาหลายทศวรรษถัดมา คนหลายล้านคนผละไร่นาและนครชั้นใน (inner city) สู่การพัฒนาเคหะชานเมืองขนาดใหญ่[142][143] ในปี ค.ศ. 1959 ฮาวายกลายเป็นรัฐที่ 50 และรัฐล่าสุดของสหรัฐที่เพิ่มเข้าประเทศ[144]ขบวนการสิทธิพลเมืองที่เติบโตขึ้นใช้สันติวิธีเผชิญกับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ โดยมีมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์เป็นผู้นำคนสำคัญและหัวโขน คำวินิจฉัยของศาลและกฎหมายประกอบกันลงเอยด้วยรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองปี ค.ศ. 1968 ซึ่งมุ่งยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศ[145][146][147] ขณะเดียวกัน ขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการค้านสงครามเวียดนาม ชาตินิยมผิวดำและการปฏิวัติทางเพศ
การเปิดฉาก "สงครามต่อความยากจน" ขยายการให้สิทธิ์และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมการสร้างเมดิแคร์และเมดิเคด สองโครงการซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพต่อผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ตามลำดับ และโครงการสแตมป์อาหาร (Food Stamp Program) และช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพึ่งพิง (Aid to Families with Dependent Children)[148]
คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการชะงักทางเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1980 เขาตอบโต้ด้วยการปฏิรูปเน้นตลาดเสรี หลังการล่มสลายของการผ่อนคลายความตึงเครียด เขาเลิก "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และริเริ่มยุทธศาสตร์ "ม้วนกลับ" ที่ก้าวร้าวขึ้นต่อสหภาพโซเวียต[149][150][151][152][153] หลังมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานสตรีในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ในปี ค.ศ. 1985 สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีงานทำ[154]
ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการ "ผ่อนคลาย" ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มลายในปี ค.ศ. 1991 ยุติสงครามเย็นในที่สุด เหตุนี้นำมาซึ่งภาวะขั้วเดียว[155] โดยสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจครอบงำของโลกโดยไร้ผู้ต่อกร มโนทัศน์สันติภาพอเมริกา (Pax Americana) ซึ่งปรากฏในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเรียกระเบียบโลกใหม่ยุคหลังสงครามเย็นที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย[แก้]
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในโลวเออร์แมนฮัตตันระหว่างวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001
วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ถูกสร้างแทนที่หลังสงครามเย็น ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจุดชนวนวิกฤตการณ์ในปี ค.ศ. 1990 เมื่อประเทศอิรักภายใต้ซัดดัม ฮุสเซนบุกครองและพยายามผนวกประเทศคูเวต กับพันธมิตรของสหรัฐ ด้วยเกรงว่าความไร้เสถียรภาพจากลามไปภูมิภาคอื่น ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชจึงเปิดฉากปฏิบัติการโล่ทะเลทราย การส่งกำลังป้องกันในประเทศซาอุดีอาระเบีย และปฏิบัติการพายุทะเลทรายในขั้นที่เรียก สงครามอ่าว โดยมีกำลังผสมจาก 34 ประเทศนำโดยสหรัฐต่อประเทศอิรัก ยุติด้วยการขับกำลังอิรักออกจากประเทศคูเวตได้สำเร็จ ฟื้นฟูราชาธิปไตยคูเวต[156]
อินเทอร์เน็ตซึ่งกำเนิดในเครือข่ายกลาโหมสหรัฐลามไปเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศ และสู่สาธารณะในปี 1990 มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโลก[157]
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นโยบายการเงินแบบเสถียรภาพภายใต้แอลัน กรีนสแพนและการลดรายจ่ายสวัสดิการสังคม คริสต์ทศวรรษ 1990 มีการขยายทางเศรษฐกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐสมัยใหม่ซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2001[158] เริ่มตั้งแต่ปี 1994 สหรัฐเข้าสู่ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เชื่อมประชากร 450 ล้านคนซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของความตกลงคือเพื่อกำจัดอุปสรรคการค้าและการลงทุนในสหรัฐ ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 การค้าในหมู่ไตรภาคีเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ NAFTA มีผลใช้บังคับ[159]
วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์โจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กและอาคารเพนตากอนใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน[160] สหรัฐตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งรวมสงครามในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักปี ค.ศ. 2003–2011[161][162] ในปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลบุชสั่งเพิ่มกำลังทหารครั้งใหญ่ในสงครามอิรัก[163] ซึ่งลดความรุนแรงและนำสู่เสถียรภาพเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอย่างเป็นผล[164][165]
นโยบายของรัฐบาลซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมการเคหะที่มีราคาไม่แพง[166] ความล้มเหลวกว้างขวางของบรรษัทภิบาลและธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล (regulatory governance)[167] และอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของระบบธนาคารกลาง[168] นำสู่ฟองสบู่การเคหะกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 จนลงเอยด้วยวิกฤตการณ์การเงินปี 2008เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนับแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[169] บารัก โอบามา ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันและหลายเชื้อชาติคนแรก ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2008 ท่ามกลางวิกฤต[170] และต่อมาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบัญญัติการปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคด็อดด์-แฟรงก์เพื่อพยายามบรรเทาผลร้าย มาตรการกระตุ้นดังกล่าวอำนวยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน[171] และการว่างงานลดลงโดยสัมพัทธ์[172] ด็อดด์-แฟรงก์พัฒนาเสถียรภาพทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค[173] แต่มีผลลบต่อการลงทุนธุรกิจและธนาคารขนาดเล็ก[174]
ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลโอบามาผ่านรัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งที่ครอบคลุมที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในเกือบห้าทศวรรษ ซึ่งรวมการมอบอำนาจ เงินอุดหนุนและการแลกเปลี่ยนประกัน กฎหมายนี้ทำให้ลดจำนวนและร้อยละของผู้ไม่มีประกันสุขภาพลงอย่างสำคัญ โดยมี 24 ล้านคนครอบคลุมระหว่างปี ค.ศ. 2016[175]กระนั้น กฎหมายนี้เป็นที่โต้เถียงเนื่องจากผลกระทบต่อราคาสาธารณสุข เบี้ยประกันภัยและสมรรถภาพทางเศรษฐกิจ[176] แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายน 2009 แต่ผู้ออกเสียงลงคะแนนยังคับข้องใจกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล่าช้า พรรครีพับลิกันซึ่งคัดค้านนโยบายของโอบามา ได้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในปี 2010 และควบคุมวุฒิสภาในปี 2014[177]
มีการถอนกำลังอเมริกันในประเทศอิรักในปี ค.ศ. 2009 และ ปี ค.ศ. 2010 และมีการประกาศให้สงครามในภูมิภาคยุติลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011[178] การถอนกำลังดังกล่าวทำให้การก่อการกำเริบนิกายนิยมบานปลาย[179] นำสู่ความเจริญของรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของอัลกออิดะฮ์ในภูมิภาค[180] ในปี 2014 โอบามาประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทูตสมบูรณ์กับประเทศคิวบาเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1961[181] ปีต่อมา สหรัฐซึ่งเป็นสมาชิกประเทศพี5+1 ลงนามแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม ซึ่งเป็นความตกลงที่มุ่งชะลอการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน[182]
ดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้มั่งมีที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐและประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการทหารก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ภูมิศาสตร์สหรัฐ, ภูมิอากาศสหรัฐ และ สิ่งแวดล้อมสหรัฐ
ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงถึงลักษณะภูมิประเทศของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่
ภาพถ่ายบางส่วนของเทือกเขาร็อกกีสหรัฐแผ่นดินใหญ่มีพื้นที่ 7,663,940.6 ตารางกิโลเมตร รัฐอะแลสกา ซึ่งมีประเทศแคนาดาคั่นสหรัฐแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีขนาด 1,717,856.2 ตารางกิโลเมตร รัฐฮาวายซึ่งเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่ 28,311 ตารางกิโลเมตร[183] ดินแดนที่มีประชากรอาศัยของสหรัฐ ได้แก่ ปวยร์โตรีโก อเมริกันซามัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาและหมู่เกาะเวอร์จินรวมมีพื้นที่ 23,789 ตารางกิโลเมตร[184]
สหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามหรือสี่ของโลกเรียงตามพื้นที่ทั้งหมด (แผ่นดินและผืนน้ำ) รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา และมีอันดับสูงหรือต่ำกว่าจีน การจัดอันดับต่างกันขึ้นอยู่กับว่านับรวมดินแดนที่ประเทศจีนและอินเดียพิพาทหรือไม่ และวัดขนาดทั้งหมดของสหรัฐอย่างไร คือ การคำนวณมีตั้งแต่ 9,522,055.0 กม.2[185], 9,629,091.5 กม.2[186] ไปจนถึง 9,833,516.6 กม.2[187] หากวัดเฉพาะแผ่นดิน สหรัฐจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากประเทศรัสเซียและจีน สูงกว่าแคนาดา[188]
ที่ราบชายฝั่งทะเลแอตแลนติกให้ก่อให้เกิดป่าผลัดใบลึกเข้าไปในแผ่นดินและรอยคลื่นพีดมอนต์ (Piedmont)[189] เทือกเขาแอปพาเลเชียนแบ่งชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเกรตเลกส์และทุ่งหญ้าภาคกลางตะวันตก (Midwest)[190] แม่น้ำมิสซิสซิปปี–มิสซูรี ระบบแม่น้ำยาวที่สุดอันดับสี่ของโลก ไหลส่วนใหญ่ในทิศเหนือ–ใต้ผ่านใจกลางประเทศ ที่ราบใหญ่ (Great Plains) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าราบอุดมสมบูรณ์แผ่ขยายไปทางทิศตะวันตก โดยมีพื้นที่สูงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขวาง[190]
เทือกเขาร็อกกี ณ ขอบทิศตะวันตกของที่ราบใหญ่ แผ่ขยายข้ามประเทศจากเหนือจรดใต้ มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร ในรัฐโคโลราโด[191] ไปอีกทางทิศตะวันตกเป็นแอ่งใหญ่ (Great Basin) หิน และทะเลทราย เช่น ทะเลทรายชิฮัวฮวนและโมฮาวี[192] เทือกเขาเซียร์ราเนวาดาและแคสเคด (Cascade) ทอดใกล้กับชายฝั่งแปซิฟิก เทือกเขาทั้งสองนี้มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร จุดต่ำสุดและสูงสุดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย[193] และห่างกัน 135 กิโลเมตร[194] ที่ระดับความสูง 6,194 เมตร ยอดเขาเดนาลี (ยอดเขาแม็กคินเลย์) ในรัฐอะแลสกาเป็นยอดเขาสูงสุดในประเทศและในทวีปอเมริกาเหนือ[195] ภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่มีทั่วไปตลอดกลุ่มเกาะอะเล็กซานเดอร์และหมู่เกาะอะลูเชียนในรัฐอะแลสกา และรัฐฮาวายประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ ภูเขาไฟใหญ่ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในเทือกเขาร็อกกี เป็นลักษณะภูเขาไฟใหญ่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ[196]
เนื่องจากสหรัฐมีขนาดใหญ่และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ จึงมีลักษณะอากาศหลายชนิด ทางตะวันออกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 ลักษณะอากาศมีตั้งแต่ภาคพื้นทวีปชื้นทางเหนือถึงกึ่งเขตร้อนชื้นทางใต้[197] ที่ราบใหญ่ทางตะวันตกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 เป็นกึ่งแห้งแล้ง เขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะอากาศแบบแอลป์ ลักษณะอากาศเป็นแบบแห้งแล้งในแอ่งใหญ่ ทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เมดิเตอร์เรเนียนในรัฐแคลิฟอร์เนียชายฝั่ง และภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทรในชายฝั่งรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน และทางใต้ของรัฐอะแลสกา รัฐอะแลสกาส่วนใหญ่เป็นแบบกึ่งอาร์กติกหรือขั้วโลก รัฐฮาวายและปลายใต้สุดของรัฐฟลอริดามีลักษณะอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับดินแดนที่มีประชากรอยู่อาศัยในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิก[198] อากาศสุดโต่งเป็นเรื่องไม่แปลก ในรัฐที่ติดอ่าวเม็กซิโกที่มีความเสี่ยงเกิดพายุเฮอร์ริเคน และทอร์เนโดส่วนใหญ่ของโลกเกิดในประเทศนี้ โดยเกิดในบริเวณตรอกทอร์เนโดแถบตะวันตกกลางและภาคใต้เป็นหลัก[199]
สัตว์ป่า[แก้]
อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติของสหรัฐตั้งแต่ปี 1782นิเวศวิทยาของสหรัฐนั้นหลากหลายมาก (megadiverse) โดยมีพืชมีท่อลำเลียงประมาณ 17,000 ชนิดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่และรัฐอะแลสกา และพบพืชดอกกว่า 1,800 ชนิดในรัฐฮาวาย ซึ่งมีจำนวนน้อยที่พบในแผ่นดินใหญ่[200] สหรัฐเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 428 ชนิด นก 784 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 311 ชนิดและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 295 ชนิด[201] มีการพบแมลงประมาณ 91,000 ชนิด[202] อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติและสัตว์ประจำชาติของสหรัฐ และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเสมอมา[203]
มีอุทยานแห่งชาติ 58 แห่งและอุทยาน ป่าและพื้นที่ที่ดินในสภาพธรรมชาติอื่นที่รัฐบาลกลางจัดการอีกนับหลายร้อยแห่ง[204] เบ็ดเสร็จแล้วรัฐบาลเป็นเจ้าของพื้นที่ประมาณ 28% ของประเทศ[205] ส่วนใหญ่พื้นที่เหล่านี้มีการคุ้มครอง แม้บางส่วนให้เช่าสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส การทำเหมือง การทำไม้หรือการเลี้ยงปศุสตว์ ประมาณ 0.86% ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร[206][207]
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 การโต้เถียงเรื่องสิ่งแวดล้อมรวมถึงการอภิปรายเรื่องน้ำมันและพลังงานนิวเคลียร์การจัดการกับมลพิษทางอากาศและน้ำ ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจในการพิทักษ์สัตว์ป่า การทำไม้ และการทำลายป่า[208][209] และการตอบสนองระหว่างประเทศเกียวกับภาวะโลกร้อน[210][211] มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่โดดเด่นที่สุดคือ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency) ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1970[212] ความคิดเรื่องที่ดินในสภาพธรรมชาติได้ก่อรูปการจัดการที่ดินสาธารณะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ด้วยบทบัญญัติที่ดินในสภาพธรรมชาติ (Wilderness Act)[213] รัฐบัญญัติสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ปี ค.ศ. 1973 มีเจตนาคุ้มครองชนิดที่อยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้การสูญพันธุ์และถิ่นที่อยู่ของพวกมัน โดยมีราชการปลาและสัตว์ป่าสหรัฐเป็นผู้ตรวจตรา[214]
ประชากรศาสตร์[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ประชากรศาสตร์สหรัฐ, ชาวอเมริกัน และ รายชื่อนครในสหรัฐเรียงตามประชากรประชากร[แก้]เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ (ประมาณของ ACS ปี 2015)[215]
แบ่งตามเชื้อชาติ:[215]
ผิวขาว73.1%
ผิวดำ12.7%
เอเชีย5.4%
อเมริกันอินเดียนและชนพื้นเมืองอะแลสกา0.8%
ฮาวายพื้นเมืองและชาวเกาะแปซิฟิก0.2%
พหุเชื้อชาติ3.1%
เชื้อชาติอื่น4.8%
แบ่งตามชาติพันธุ์:[215]
ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)17.6%
มิใช่ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)82.4%
กลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดแบ่งตามเทศมณฑล (ปี 2000) ซึ่งมีชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันมากที่สุดสำนักงานสำมะโนสหรัฐประมาณจำนวนประชากรของประเทศเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2016 ไว้ที่ 323,425,550 คน โดยเพิ่มขึ้น 1 คน (เพิ่มสุทธิ) ทุก 13 วินาที หรือประมาณ 6,646 คนต่อวัน[4] ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากประมาณ 76 ล้านคนในปี ค.ศ. 1900[216] สหรัฐเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย สหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศเดียวที่มีการทำนายการเพิ่มของประชากรขนาดใหญ่[217] ในคริสต์ทศวรรษ 1800 หญิงเฉลี่ยมีบุตร 7.04 คน เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1900 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือ 3.56 คน[218] นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดต่ำกว่าอัตราทดแทน 2.1 โดยอยู่ที่บุตร 1.86 คนต่อหญิง 1 คนในปี ค.ศ. 2014 การเข้าเมืองที่เกิดต่างด้าวทำให้ประชากรสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยประชากรที่เกิดต่างด้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากประมาณ 20 ล้านคนในปี 1990 เป็นกว่า 40 ล้านคนในปี ค.ศ. 2010 โดยเป็นการเพิ่มของประชากรหนึ่งในสาม[219] ประชากรที่เกิดต่างด้าวถึง 45 ล้านคนในปี 2015[220]'
สหรัฐมีประชากรหลากหลายมาก โดยกลุ่มบรรพบุรุษ 37 กลุ่มมีสมาชิกกว่า 1 ล้านคน[221] ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่สุด (กว่า 50 ล้านคน) รองลงมาได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์แลนด์ (ประมาณ 37 ล้านคน), ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก (ประมาณ 31 ล้านคน) และชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ (ประมาณ 28 ล้านคน)[222][223] ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มเชื้อชาติใหญ่สุด ชาวอเมริกันผิวดำเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดของประเทศ (หมายเหตุว่าในสำมะโนสหรัฐ อเมริกันฮิสแปนิกและละติโนนับเป็นกลุ่ม "ชาติพันธุ์" มิใช่กลุ่ม "เชื้อชาติ") และเป็นกลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดอันดับสาม[221]ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดอันดับสอง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใหญ่สุดสามอันดับ ได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ และชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย[221]
สหรัฐมีอัตราเกิด 13 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 5 คน[224] อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวก 0.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ[225] ในปีงบประมาณ 2012 ผู้เข้าเมืองกว่าหนึ่งล้านคน (ส่วนมากเข้าประเทศผ่านการรวมครอบครัว) ได้รับถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย[226] ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศต้นทางของผู้อยู่อาศัยใหม่อันดับต้น ๆ ตั้งแต่รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1965 ประเทศจีน อินเดียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีผู้เข้าเมืองสูงสุดสี่อันดับทุกปีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990[227][228] ในปี 2012 ผู้อยู่อาศัยประมาณ 11.4 ล้านคนเป็นผู้เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย[229] ในปี 2015 47% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมดเป็นฮิสแปนิก 26% เป็นชาวเอเชีย 18% เป็นคนขาว และ 8% เป็นคนดำ ร้อยละของผู้เข้าเมืองซึ่งเป็นชาวเอเชียเพิ่มขึ้นส่วนร้อยละของผู้เป็นฮิสแปนิกลดลง[220]
ชนกลุ่มน้อย (ซึ่งกรมสำมะโนนิยามว่าหมายถึงทุกคนยกเว้นคนผิวขาวที่มิใช่ฮิสปแปนิกและมิใช่หลายเชื้อชาติ) ประกอบเป็น 37.2% ของประชากรในปี 2012[215] และกว่า 50% ของเด็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปี[230][231] และคาดว่าจะกลายเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อถึงปี 2044[230]
ตามการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิลเลียมส์ ชาวอเมริกันเก้าล้านคน หรือประมาณ 3.4% ของประชากรผู้ใหญ่ระบุตนเองว่าเป็นรักร่วมเพศ รักสองเพศหรือข้ามเพศ[232][233]การสำรวจมติมหาชนปี 2016 ยังสรุปว่า 4.1% ของชาวอเมริกันผู้ใหญ่ระบุตนเป็นแอลจีบีที ร้อยละสูงสุดมาจากเขตโคลัมเบีย (10%) ส่วนรัฐที่ตัวเลขต่ำสุด คือ รัฐนอร์ทดาโกตาที่ 1.7%[234] การสำรวจในปี 2013 ศูนย์สำหรับการควบคุมและป้องกันโรคพบว่า 96.6% ระบุตนว่าตรงเพศ ส่วน 1.6% ระบุว่าเป็นเกย์หรือเลสเบียน และ 0.7% ระบุว่าเป็นรักสองเพศ[235]
ในปี ค.ศ. 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนมีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านคนที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษชนพื้นเมืองฮาวายหรือชาวเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านคนมีเฉพาะบรรพบุรุษดังกล่าว)[236] สำมะโนนับกว่า 19 ล้านคนอยู่ใน "เชื้อชาติอื่น" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้" ว่าอยู่ในหมวดเชื้อชาติอย่างเป็นทางการห้าหมวดในปี 2010 โดยมีกว่า 18.5% (97%) ของจำนวนนี้มีชาติพันธุ์ฮิสแปนิก[236]
การเติบโตของประชากรฮิสแปนิกและละติโนอเมริกัน (คำดังกล่าวใช้แทนกันได้อย่างเป็นทางการ) เป็นแนวโน้มประชากรศาสตร์ที่สำคัญ สำนักงานสำมะโนระบุชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก 50.5 ล้านคน[236] ว่ามี "ชาติพันธุ์" แยกต่างหาก 64% ของฮิสแปนิกอเมริกันมีเชื้อสายเม็กซิโก[237] ระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรฮิสแปนิกของประเทศเพิ่ม 43% ขณะที่ประชากรที่มิใช่ฮิสแปนิกเพิ่มเพียง 4.9%[238] การเติบโตส่วนมากมาจากการเข้าเมือง ในปี 2007 12.7% ของประชากรสหรัฐเกิดต่างด้าว ขณะที่ 54% ในจำนวนนี้เกิดในละตินอเมริกา[239]
ชาวอเมริกันประมาณ 82% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมชานเมือง)[187] ในจำนวนนี้ประมาณกึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในนครที่มีประชากรกว่า 50,000 คน[240] สหรัฐมีหลายกลุ่มนครที่เรียก เมกะรีจัน (megaregion) เมกะรีจันขนาดใหญ่สุดคือ อภิมหานครเกรตเลกส์ (Great Lakes Megalopolis) ตามด้วยอภิมหานครตะวันออกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียใต้ ในปี 2008 มีเทศบาล 273 เทศบาลที่มีประชากรกว่า 100,000 คน มีเก้านครที่มีผู้อยู่อาศัยกว่าหนึ่งล้านคน และสี่นครโลกที่มีประชากรกว่าสองล้านคน (นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโกและฮุสตัน)[241] มี 52 พื้นที่มหานครที่มีประชากรกว่าหนึ่งล้านคน[242] พื้นที่มหานครที่เติบโตเร็วที่สุด 47 จาก 50 พื้นที่อยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคใต้[243] พื้นที่มหานครแซนเบอร์นาร์ดีโน แดลลัส ฮุสตัน แอตแลนตาและฟีนิกซ์ล้วนเติบโตกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008[242]
ศูนย์กลางประชากรอันดับต้น
อันดับนครแกนกลางประชากรในพื้นที่นครบาลพื้นที่สถิตินครบาลภาค[244]
นครนิวยอร์ก
ลอสแองเจลิส
ชิคาโก
แดลลัส
1นครนิวยอร์ก20,182,305นครนิวยอร์ก-นูอาร์ก-เจอร์ซีย์, NY-NJ-PA MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
2ลอสแองเจลิส13,340,068ลอสแองเจลิส–ลองบีช–แอนะไฮม์, CA MSAตะวันตก
3ชิคาโก9,551,031ชิคาโก–โจเลียต–เนเพอร์วิลล์, IL–IN–WI MSAตะวันตกกลาง
4แดลลัส–ฟอร์ตเวิร์ธ7,102,796แดลลัส–ฟอร์ตเวิร์ธ–อาร์ลิงตัน, TX MSAใต้
5ฮิวสตัน6,656,947ฮิวสตัน–เดอะวูดแลนส์-ชูการ์แลนด์ MSAใต้
6วอชิงตัน ดี.ซี.6,097,684วอชิงตัน ดี.ซี.–VA–MD–WV MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
7ฟิลาเดลเฟีย6,069,875ฟิลาเดลเฟีย–แคมเดน–วิลมิงตัน, PA–NJ–DE–MD MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
8ไมแอมี6,012,331ไมแอมี–ฟอร์ตลอเดอร์เดล–พอมพาโนบีช, FL MSAใต้
9แอตแลนตา5,710,795แอตแลนตา–แซนดีสปริงส์–มารีเอตตา, GA MSAใต้
10บอสตัน4,774,321บอสตัน–เคมบริดจ์–ควินซี, MA–NH MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
11ซานฟรานซิสโก4,656,132ซานฟรานซิสโก–โอกแลนด์–ฟรีมอนต์, CA MSAตะวันตก
12ฟีนิกซ์4,574,531ฟีนิกซ์–เมซา–เกลนเดล, AZ MSAตะวันตก
13ริเวอร์ไซด์–แซนเบอร์นาร์ดีโน4,489,159ริเวอร์ไซด์–แซนเบอร์นาร์ดีโน–ออนแทริโอ, CA MSAตะวันตก
14ดีทรอยต์4,302,043ดีทรอยต์–วอร์เรน–ลีโวเนีย, MI MSAตะวันตกกลาง
15ซีแอตเทิล3,733,580ซีแอตเทิล–ทาโคมา–เบลวิว, WA MSAตะวันตก
16มินนีแอโพลิส–เซนต์พอล3,524,583มินนีแอโพลิส–เซนต์พอล–บลูมิงตัน, MN–WI MSAตะวันตกกลาง
17แซนดีเอโก3,299,521แซนดีเอโก–คาลส์แบด ช–แซนมาร์คัส, CA MSAตะวันตก
18แทมปา–เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก2,975,225แทมปา–เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก–เคลียร์วอเทอร์, FL MSAใต้
19เดนเวอร์2,814,330เดนเวอร์–ออโรรา–เลกวูด, CO MSAตะวันตก
20เซนต์หลุยส์2,811,588เซนต์หลุยส์ MO–IL MSAตะวันตกกลาง
ตามการประมาณประชากรปี 2015 จากสำนักสำมะโนสหรัฐ[245]ภาษา[แก้]ภาษาที่คนกว่า 1 ล้านคนพูดที่บ้านในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2010)[246][fn 6]ภาษาร้อยละของ
ประชากรจำนวน
ผู้พูดจำนวนผู้พูด
ภาษาอังกฤษ
ได้ดีหรือดีมากอังกฤษ (เท่านั้น)80%233,780,338ทุกคน
รวมทุกภาษา
ที่มิใช่อังกฤษ20%57,048,61743,659,301
สเปน
(ไม่รวมปวยร์โตรีโกและผสมสเปน)12%35,437,98525,561,139
จีน
(รวมภาษากวางตุ้งมาตรฐานและภาษาจีนมาตรฐาน)0.9%2,567,7791,836,263
ตากาล็อก0.5%1,542,1181,436,767
เวียดนาม0.4%1,292,448879,157
ฝรั่งเศส
(รวมเคจันแต่ไม่รวมผสมเฮติ)0.4%1,288,8331,200,497
เกาหลี0.4%1,108,408800,500
เยอรมัน0.4%1,107,8691,057,836ภาษาอังกฤษ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้ไม่มีภาษาราชการในระดับสหพันธรัฐ แต่กฎหมายบางฉบับ เช่น ข้อกำหนดการแปลงสัญชาติของสหรัฐ วางมาตรฐานภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรอายุตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป พูดภาษาอังกฤษที่บ้านเท่านั้น ภาษาสเปน ซึ่งมีประชากร 12% พูดที่บ้าน เป็นภาษาที่พบมากที่สุดอันดับสองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันแพร่หลายที่สุด[247][248] ชาวอเมริกันบางส่วนสนับสนุนให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศ เนื่องจากเป็นภาษาราชการแล้วใน 32 รัฐ[249]
ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในรัฐฮาวายตามกฎหมายของรัฐ[250] แม้ไม่มีภาษาราชการ แต่รัฐนิวเม็กซิโกมีกฎหมายที่กำหนดการใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เช่นเดียวกับที่รัฐลุยเซียนากำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส[251] รัฐอื่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมีคำสั่งศาลสูงให้พิมพ์เผยแพร่เอกสารราชการบางชนิดเป็นภาษาสเปน รวมทั้งแบบของศาล[252] หลายเขตอำนาจที่มีผู้ไม่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากมีการผลิตเอกสารรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศการเลือกตั้ง ในภาษาที่มีผู้พูดแพร่หลายในเขตอำนาจเหล่านั้น
หลายดินแดนเกาะให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อภาษาพื้นเมืองร่วมกับภาษาอังกฤษ โดยอเมริกันซามัวและกวมรับรองภาษาซามัว[253] และภาษาชามอร์โร[254] ตามลำดับ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนารับรองภาษาแคโรไลน์และชามอร์โร[255] ชาติเชอโรคีรับรองภาษาเชอโรคีอย่างเป็นทางการในพื้นที่เขตอำนาจเผ่าเชอโรคีในรัฐโอกลาโฮมาตะวันออก ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการในปวยร์โตรีโกและมีพูดกันแพร่หลายกว่าภาษาอังกฤษที่นั่น[256]
ภาษาต่างด้าวที่สอนกันกว้างขวางที่สุดในทุกระดับในสหรัฐ (ในแง่ของจำนวนผู้ลงทะเบียน) ได้แก่ ภาษาสเปน (ผู้เรียนประมาณ 7.2 ล้านคน) ฝรั่งเศส (1.5 ล้านคน) และเยอรมัน (500,000 คน) ภาษาที่มีสอนแพร่หลายอื่น (โดยมีผู้เรียน 100,000 ถึง 250,000 คน) มีภาษาละติน ญี่ปุ่น ภาษาใบ้อเมริกัน ภาษาอิตาลีและจีน[257][258] 18% ของชาวอเมริกันอ้างว่าตนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกจากภาษาอังกฤษ[259]
ศาสนา[แก้]ศาสนาที่นับถือในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2014)[260]ศาสนา% ของประชากรสหรัฐคริสต์70.6
โปรเตสแตนต์46.5
โปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล25.4
โปรเตสแตนต์สายหลัก14.7
คริสตจักรดำ6.5
คาทอลิก20.8
มอรมอน1.6
พยานพระยะโฮวา0.8
อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์0.5
คริสต์อื่น0.4
ยูดาห์1.9
อิสลาม1
พุทธ0.7
ฮินดู0.7
ศาสนาอื่น1.8
ไม่มีศาสนา22.8
ไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง15.8
อไญยนิยม4.0
อเทวนิยม3.1
ไม่ทราบหรือปฏิเสธไม่ตอบ0.6 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งแรกรับประกันการนับถือศาสนาอย่างเสรีและห้ามรัฐสภาผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันศาสนา
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในสหรัฐ ในการสำรวจปี ค.ศ. 2013 ชาวอเมริกัน 56% กล่าวว่า ศาสนามี "บทบาทสำคัญมากในชีวิตของพวกเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นมาก[261] ในการสำรวจมติมหาชนปี ค.ศ. 2009 ชาวอเมริกัน 42% กล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์หรือเกือบทุกสัปดาห์ ตัวเลขดังกล่าวแปรผันตั้งแต่ 23% ในรัฐเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในรัฐมิสซิสซิปปี[262] ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและผู้ประพันธ์เรียกสหรัฐว่าเป็น "ชาติโปรเตสแตนต์" หรือ "ก่อตั้งบนหลักการโปรเตสแตนต์"[263][264][265][266] โดยเน้นมรดกลัทธิคาลวินเป็นพิเศษ[267][268][269]
สหรัฐเริ่มเคร่งศาสนาน้อยลงเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกอื่น การไม่มีศาสนาเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30 ปี[270] การสำรวจแสดงว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมเสื่อมลงมาตั้งแต่กลางถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980[271] โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันอายุน้อยที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น[272] การศึกษาในปี 2012 บ่งชี้ว่าสัดส่วนประชากรสหรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ลดลงเหลือ 48% ทำให้ยุติสถานภาพเป็นหมวดศาสนาของฝ่ายข้างมากเป็นครั้งแรก[273][274] ชาวอเมริกันที่ไม่มีศาสนามีบุตร 1.7 คนเทียบกับคริสต์ศาสนิกชน 2.2 คน ผู้ไม่นับถือศาสนายังมีแนวโน้มสมรสน้อยกว่าคริสต์ศาสนิกชน 37% ต่อ 52%[275]
จากการสำรวจปี ค.ศ. 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน[276] ลดลงจาก 73% ในปี 2012[277] โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด[278] ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9%[278] ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%)[278] การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่าอไญยนิยม, อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990[278][279][280] นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม[281]
โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีคริสตจักรแบปทิสต์รวมกันเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และสหคริสตจักรแบปทิสต์ใต้ (Southern Baptist Convention) เป็นนิกายโปรเตสแตนต์เดี่ยวที่ใหญ่สุด ชาวอเมริกันประมาณ 26% ระบุตนเป็นโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล (Evangelical Protestant) ส่วน 15% เป็นสายหลัก (Mainline) และ 7% เป็นคริสตจักรดำดั้งเดิม โรมันคาทอลิกในสหรัฐมีเหง้าในการทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการเข้าเมืองของชาวไอริช อิตาลี โปแลนด์ เยอรมันและสเปน รัฐโรดไอแลนด์มีร้อยละของคาทอลิกสูงสุดโดยมี 40% ของประชากร[282] นิกายลูเทอแรนในสหรัฐกำเนิดจากการเข้าเมืองจากยุโรปเหนือและประเทศเยอรมนี รัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตาเป็นเพียงสองรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นลูเทอร์แรนมากกว่า ผู้เข้าเมืองชาวสกอตและสกอตอัลสเตอร์เผยแผ่นิกายเพรสไบทีเรียนในทวีปอเมริกาเหนือ แม้นิกายดังกล่าวได้เผยแผ่ทั่วสหรัฐ แต่กระจุกอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเป็นหลัก มีการก่อตั้งกลุ่มผู้นับถือศาสนาปฏิรูปดัตช์ครั้งแรกในนิวอัมสเตอร์ดัม (นครนิวยอร์ก) ก่อนเผยแผ่ไปทางทิศตะวันตก รัฐยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่มอรมอนเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ฉนวนมอรมอนยังขยายไปถึงบางส่วนของรัฐไอดาโฮ เนวาดาและไวโอมิง[283]
เข็มขัดไบเบิล (Bible Belt) เป็นภาษาปากใช้เรียกภูมิภาคในภาคใต้ของสหรัฐซึ่งโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัลซึ่งเป็นอนุรักษนิยมทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและอัตราการเข้าโบสถ์คริสต์ในนิกายต่าง ๆ ปกติสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ในทางกลับกัน ศาสนามีบทบาทสำคัญน้อยในรัฐนิวอิงแลนด์และภาคตะวันตกของสหรัฐ[262]
โครงสร้างครอบครัว[แก้]ในปี 2007 ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 58% สมรส 6% เป็นม่าย 10% หย่าร้าง และ 25% ไม่เคยสมรส[284] ขณะนี้หญิงส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีมากกว่าชาย[285]
อัตราการตั้งครรภ์วัยรุ่นสหรัฐอยู่ที่ 26.5 คนต่อ 1,000 คน อัตราดังกล่าวลดลง 57% จากปี 1991[286] ในปี 2013 อัตราเกิดวัยรุ่นสูงสุดอยู่ในรัฐแอลาบามา และต่ำสุดในรัฐไวโอมิง[286][287] การทำแท้งชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ เนื่องจากคดีระหว่างโรและเวด (Roe v. Wade) คำวินิจฉัยบรรทัดฐานในปี 1973 ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ แม้อัตราการทำแท้งจะลดลง แต่อัตราทำแท้ง 241 ต่อ 1,000 การคลอดมีชีพและอัตราการทำแท้ง 15 คนต่อ 1,000 คนในหญิงอายุระหว่าง 15–44 ปีก็ยังสูงกว่าอัตราของชาติตะวันตกส่วนใหญ่[288]ในปี 2013 อายุเฉลี่ยของการคลอดครั้งแรกอยู่ที่ 26 ปีและ 40.6% ของการเกิดเกิดกับหญิงไม่สมรส[289]
มีการประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของปี 2013 ไว้ที่ 1.86 การเกิดต่อหญิง 1 คน[290] การรับบุตรบุญธรรมในสหรัฐมีทั่วไปและค่อนข้างง่ายจากมุมมองกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น[291] ในปี 2001 ด้วยการรับบุตรบุญธรรมกว่า 127,000 คน สหรัฐคิดเป็นเกืบอกึ่งหนึ่งของจำนวนการรับบุตรบุญธรรมทั้งหมดทั่วโลก[292] การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศและคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย พหุสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ[293]
การเมืองการปกครอง[แก้]
อาคารรัฐสภาสหรัฐ
สถานที่ประชุมของรัฐสภา
ได้แก่ วุฒิสภา (ซ้ายมือ) สภาผู้แทนราษฎร (ขวามือ)
ทำเนียบขาว จวนและที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐ
อาคารศาลสูงสุด ที่ประชุมของศาลสูงสุดสหรัฐเป็นสหพันธรัฐเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังรอดมาถึงปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน "ซึ่งการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์มากถูกจำกัดโดยสิทธิฝ่ายข้างน้อยที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย"[294] มีการวางระเบียบการปกครองด้วยระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่นิยามตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ[295] สำหรับปี 2016 สหรัฐจัดอยู่ในอันดับที่ 21 ตามดัชนีประชาธิปไตย[296] และอันดับที่ 18 ในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน[297]
ในระบบสหพันธรัฐนิยมอเมริกา ปกติพลเมืองอยู่ใต้บังคับแห่งการปกครองสามระดับ คือ สหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น หน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นปกติแบ่งกันระหว่างรัฐบาลเทศมณฑล (county) และองค์การเทศบาล ในเกือบทุกกรณี ข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าของพลเมืองแบ่งตามเขต ไม่มีการมีผู้แทนตามสัดส่วนในระดับสหพันธรัฐ และพบน้อยในระดับล่างกว่า[298]
รัฐบาลกลางประกอบด้วยสามอำนาจ ได้แก่
วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน โดยแต่ละรัฐมีสมาชิกวุฒิสภาสองคน ได้รับเลือกตั้งโดยไม่แบ่งเขตมีวาระละ 6 ปี ตำแหน่งวุฒิสภาหนึ่งในสามมีการเลือกตั้งปีเว้นปี ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกินสองครั้ง ประธานาธิบดีมิได้เลือกตั้งจากคะแนนเสียงโดยตรง แต่มาจากระบบคณะผู้เลือกตั้งทางอ้อมซึ่งกำหนดคะแนนเสียงที่จัดสัดส่วนให้แก่รัฐและเขตโคลัมเบีย ศาลสูงสุด ซึ่งมีประธานศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเป็นหัวหน้า มีสมาชิกเก้าคน ซึ่งดำรงตำแหน่งตลอดชีพ[304]
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนครนิวยอร์กเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสหรัฐและอุดมการณ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและโอกาส[305]รัฐบาลรัฐมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน แต่รัฐเนแบรสกามีสภานิติบัญญัติที่ใช้ระบบสภาเดียวต่างจากรัฐอื่น[306] ผู้ว่าการแต่ละรัฐ (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้พิพากาษาและคณะรัฐมนตรีของบางรัฐมาจากการแต่งตั้งของผู้ว่าการของรัฐนั้น ๆ แต่บางรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ข้อความดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและความสัมพันธ์กับรัฐหนึ่ง ๆ มาตรา 1 คุ้มครองสิทธิหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง[307] การแก้ไขเพิ่มเติมสิบครั้งแรก ซึ่งรวมเรียว่า รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ก่อเป็นรากฐานกลางของสิทธิปัจเจกของชาวอเมริกัน กฎหมายและวิธีดำเนินการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การพิจารณาทบทวนโดยศาลและกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยว่าละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ศาลสูงสุดสถาปนาหลักการพิจารณาทบทวนโดยศาล แม้มิได้กล่าวไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ในคดีระหว่างมาร์บูรีกับเมดิสัน (Marbury v. Madison) ปี 1803[308]
เขตรัฐกิจ[แก้]ดูบทความหลักที่: เขตทางการเมืองของสหรัฐ, รัฐ (สหรัฐ), ดินแดนของสหรัฐ, รายชื่อรัฐและดินแดนของสหรัฐ และ เขตสงวนอินเดียน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: Territorial evolution of the United States และ การได้มาซึ่งดินแดนของสหรัฐ
แผนที่เขตเศรษฐกิจเขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐ[309] แสดงรัฐ ดินแดนและการครอบครองสหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประกอบด้วย 50 รัฐ เขตสหพันธรัฐ ห้าดินแดนและเกาะที่ไม่มีคนอยู่อาศัยสิบเอ็ดเกาะ[310] รัฐและดินแดนเป็นเขตการปกครองหลักในประเทศ แบ่งเป็นเขตย่อยเทศมณฑลและนครอิสระ เขตโคลัมเบียเป็นเขตสหพันธรัฐซึ่งมีเมืองหลวงของสหรัฐ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รัฐและเขตโคลัมเบียเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ละรัฐมีผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเทียบเท่ากับผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา เขตโคลัมเบียมีสามคน[311]
เขตรัฐสภามีการกำหนดจำนวนผู้แทนตามส่วนของพลเมืองใหม่ของรัฐหลังสำมะโนประชากรทุกสิบปี แล้วแต่ละรัฐเป็นเขตสมาชิกหนึ่งให้เป็นไปตามการจัดสัดส่วนสำมะโน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และสมาชิกรัฐสภาผู้แทนเป็นตัวแทนของเขตโคลัมเบียและห้าดินแดนหลักของสหรัฐ[312]
สหรัฐยังมีอำนาจอธิปไตยชนเผ่า (tribal sovereignty) ของชาติอเมริกันอินเดียนในขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ อเมริกันอินเดียนเป็นพลเมืองสหรัฐและดินแดนชนเผ่าอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหรัฐและศาลสหพันธรัฐ เช่นเดียวกับรัฐ ชนเผ่ามีอัตตาณัติสูง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศสงคราม มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชองตนเอง หรือพิมพ์และออกเงินตรา[313]
พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง[แก้]
ดอนัลด์ ทรัมป์
ประธานาธิบดีคนที่ 45
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017
ไมก์ เพนซ์
รองประธานาธิบดีคนที่ 48
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์[314] สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่ พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งในปี 1824 และพรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งในปี 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าในปี 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง[315]
ภายในวัฒนธรรมการเมืองอเมริกา พรรครีพับลิกันฝ่ายกลางขวาถือว่าเป็น "อนุรักษนิยม" และพรรคเดโมแครตฝ่ายกลางซ้ายถือว่าเป็น "เสรีนิยม"[316][317] รัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันตกและรัฐเกรตเลกส์บางรัฐรู้จักกันในนาม "รัฐน้ำเงิน" ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม "รัฐแดง" ในภาคใต้และบางส่วนของเกรตเพลนส์และเทือกเขาร็อกกีค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยม
ดอนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45[318] ผู้นำปัจจุบันในวุฒิสภา ได้แก่ รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์จากพรรครีพับลิกัน ประธานชั่วคราวออร์ริน แฮช (Orrin Hatch) จากพรรครีพับลิกัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก มิตช์ แม็กคอนเนล (Mitch McConnell) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย ชัก ชูเมอร์(Chuck Schumer)[319] ผู้นำในสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรพอล ไรอัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก เควิน แม็กคาร์ที และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย แนนซี เพโลซี[320]
ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 115 พรรครีพับลิกันครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีรีพับลิกัน 52 คน เดโมแครต 46 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 241 คนและเดโมแครต 194 คน[321] ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 33 คน เดโมแครต 16 คนและอิสระ 1 คน[322] ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน[323]
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐ และ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐ
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติสร้างขึ้นในใจกลางเมืองแมนฮัตตันในปี 1952[324]สหรัฐมีโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับ เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและนครนิวยอร์กเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เป็นสมาชิกจี7[325] จี20 และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เกือบทุกประเทศมีสถานเอกอัครราชทูตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และหลายประเทศมีสถานกงสุลทั่วประเทศ ในทำนองเดียวกัน เกือบทุกประเทศมีคณะทูตอเมริกันอยู่ อย่างไรก็ตาม อิหร่าน เกาหลีเหนือ ภูฏานและสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ไม่มีความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐ (แม้สหรัฐยังมีความสัมพันธ์กับไต้หวันและส่งยุทธภัณฑ์ให้)[326]
สหรัฐมี "ความสัมพันธ์พิเศษ" กับสหราชอาณาจักร[327] และความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับประเทศแคนาดา[328] ออสเตรเลีย,[329]นิวซีแลนด์[330] ฟิลิปปินส์[331] ญี่ปุ่น[332] เกาหลีใต้[333] อิสราเอล[334] และอีกหลายประเทศสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศฝรั่งเศส อิตาลีเยอรมนีและสเปน สหรัฐทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกนาโตด้วยกันในประเด็นทางทหารและความมั่นคง และกับประเทศเพื่อนบ้านโดยผ่านองค์การนานารัฐอเมริกัน และข้อตกลงการค้าเสรี เช่น ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือไตรภาคีกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ในปี 2008 สหรัฐใช้งบประมาณสุทธิ 25,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือพัฒนาอย่างเป็นทางการ ซึ่งมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม การให้เงินช่วยเหลือของสหรัฐ 0.18% เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้มวลรวมประชาชาติของสหรัฐ ทำให้จัดอยู่อันดับสุดท้ายในบรรดารัฐบริจาค 22 ประเทศ ในทางตรงข้าม การให้เงินต่างประเทศของเอกชนโดยชาวอเมริกันค่อนข้างเผื่อแผ่[335]
สหรัฐใช้อำนาจและความรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์สำหรับสามรัฐเอกราชผ่านความตกลงระหว่างประเทศสมาคมอิสระ (Compact of Free Association) กับไมโครนีเซีย หมู่เกาะมาร์แชลล์และปาเลา ประเทศเหล่านี้เป็นชาติเกาะแปซิฟิก ซึ่งเคยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีหมู่เกาะแปซิฟิก (Trust Territory of the Pacific Islands) ที่สหรัฐบริหารหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้รับเอกราชในเวลาต่อมา[336]
การคลังภาครัฐ[แก้]
หนี้สินรัฐบาลกลางสหรัฐที่ภาครัฐบาลถือครองเป็นร้อยละของจีดีพี ตั้งแต่ปี 1790 ถึง 2013[337]ภาษีในสหรัฐมีการจัดเก็บในระดับรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึงภาษีรายได้, หักจากค่าจ้าง, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, มรดกและการให้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปี 2010 ภาษีที่รัฐบาลกลาง รัฐ และเทศบาลจัดเก็บได้คิดเป็น 24.8% ของจีดีพี[338] ช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้จากภาษีประมาณ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 147,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ 2.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของปีงบประมาณ 2011 หมวดหมู่หลักได้แก่ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (1,132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 47%) ภาษีหลักประกันสังคม/การประกันสังคม (845,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 35%) และภาษีนิติบุคคล (242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 10%)[339] ตามการประมาณของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา[340] ภายใต้กฎหมายภาษีปี 2013 ผู้มีรายได้สูงสุด 1% จะจ่ายอัตราภาษีเฉลี่ยสูงสุดนับแต่ปี 1979 ส่วนกลุ่มรายได้อื่นยังอยู่ในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์[341]
โดยทั่วไปการเก็บภาษีอากรของสหรัฐเป็นแบบก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นแบบก้าวหน้ามากที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว[342][343][344][345][346] ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่ายภาษีของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่[347] และเกือบครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด[348] ภาษีหักจากค่าจ้างสำหรับหลักประกันสังคมเป็นภาษีถดถอยแนวราบ โดยไม่มีการเก็บภาษีกับรายได้เกิน 118,500 ดอลลาร์สหรัฐ (สำหรับปี 2015 และ 2016) และไม่เก็บภาษีเลยสำหรับผู้ไม่มีรายได้จากหลักทรัพย์และกำไรส่วนทุน[349][350] การให้เหตุผลเดิมสำหรับสภาพถดถอยของภาษีหักจากค่าจ้าง คือ โครงการการให้สิทธิ์ไม่ถูกมองเป็นการโอนสวัสดิการ[351][352] ทว่า ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา ผลลัพธ์สุทธิของหลักประกันสังคม คือ อัตราประโยชน์ต่อภาษีมีพิสัยตั้งแต่ประมาณ 70% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้สูงสุดถึงประมาณ 170% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้ต่ำสุด ทำให้ระบบเป็นแบบก้าวหน้า[353]
ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่าย 51.8% ของภาษีรัฐบาลกลางทั้งหมดในปี 2009 และผู้มีรายได้สูงสุด 1% ซึ่งมีรายได้ประชาชาติก่อนเสียภาษี 13.4% จ่ายภาษีรัฐบาลกลาง 22.3%[345]ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีพยากรณ์ว่าอัตราภาษียังผลของรัฐบาลกลาง 35.5% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 29.7% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 20%, 13.8% สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและ −2.7% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำสุด[354][355] ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นประเด็นกรณีโต้เถียงที่กำลังดำเนินอยู่มาหลายทศวรรษ[343][356] ภาษีรัฐและท้องถิ่นแตกต่างกันมาก แต่โดยทั่วไปเป็นแบบถดถอยน้อยกว่าภาษีรัฐบาลกลางเพราะการจัดเก็บภาษีนั้นอาศัยภาษีการขายและทรัพย์สอนแบบถดถอยซึ่งให้กระแสรายได้ที่ลบเลือนได้น้อยกว่า แม้รวมภาษีเหล่านี้ด้วยแล้ว การจัดเก็บภาษีโดยรวมก็ยังเป็นแบบก้าวหน้า[343][357]
ระหว่างปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางใชังบประมาณหรือเกณฑ์เงินสด 3.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้ 3.60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายหมวดหลักในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่ เมดิแคร์และเมดิเคด (802,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 23% ของรายจ่าย), หลักประกันสังคม (768,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 22%), กระทรวงกลาโหม (670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 19%) ดุลยพินิจนอกเหนือจากการกลาโหม (615,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 17%) รายจ่ายบังคับอื่น (461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 13%) และดอกเบี้ย (223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6%)[339]
หนี้สินของชาติทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 18.527 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (106% ของจีดีพี) ในปี 2014[358] สหรัฐมีการจัดอันดับเครดิต AA+ จากสแตนดาร์ดแอนด์พัวส์, AAA จากฟิตช์ และ AAA จากมูดีส์[359]
กองทัพ[แก้]ดูบทความหลักที่: กองทัพสหรัฐประธานาธิบดีมีตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร และแต่งตั้งหัวหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเสนาธิการร่วม กระทรวงกลาโหมของสหรัฐบริหารกองทัพ รวมทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ, เหล่านาวิกโยธิน, และกองทัพอากาศ หน่วยยามฝั่งดำเนินการโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในยามสงบและกระทรวงทหารเรือในยามสงคราม ในปี 2008 กองทัพมีกำลังพลประจำการ 1.4 ล้านนาย หรือ 2.3 ล้านนายหากนับรวมกำลังสำรองและกำลังป้องกันชาติ กระทรวงกลาโหมว่าจ้างพลเรือนประมาณ 700,000 คน ไม่นับรวมผู้รับเหมา[360]
กลุ่มโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน คิตตีฮอว์ก, โรนัลด์ เรแกน และอับราฮัม ลินคอล์น กับเครื่องบินจากเหล่านาวิกโยธิน, กองทัพเรือและกองทัพอากาศราชการทหารเป็นแบบสมัครใจ แม้อาจมีการเกณฑ์ทหารในยามสงครามผ่านระบบราชการคัดเลือก (Selective Service System)[361] กำลังอเมริกาสามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วโดยกลุ่มอากาศยานขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพอากาศ เรือบรรทุกอากาศยานประจำการ 11 ลำของกองทัพเรือ และหน่วยรบนอกประเทศนาวิกโยธินในทะเลกับกองเรือแอตแลนติกและแปซิฟิกของกองทัพเรือ กองทัพมีฐานทัพและศูนย์ 865 แห่งนอกประเทศ[362] และมีกำลังพลประจำการกว่า 100 นายใน 25 ประเทศ[363]
งบประมาณทางทหารของสหรัฐในปี 2011 อยู่ที่ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 41% เป็นรายจ่ายทางทหารทั่วโลกและเท่ากับรายจ่ายทางทหารของ 14 ชาติที่มีรายจ่ายมากรองลงมารวมกัน อัตรางบประมาณทางทหารอยู่ที่ 4.7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดอันดับสองในบรรดาประเทศที่มีรายจ่ายทางทหารสูงสุด 15 ประเทศ รองจากประเทศซาอุดีอาระเบีย[364] รายจ่ายกลาโหมของสหรัฐเมื่อเทียบเป็นร้อยละของจีดีพีจัดเป็นอันดับที่ 23 ของโลกในปี 2012 ตามข้อมูลของซีไอเอ[365] สัดส่วนรายจ่ายกลาโหมของสหรัฐโดยทั่วไปลดลงในทศวรรษหลัง จากช่วงสงครามเย็นที่สูงสุดที่ 14.2% ของจีดีพีในปี 1953 และ 69.5% ของรายจ่ายรัฐบาลกลางใน 1954 ลงมาที่ 4.7 % ของจีดีพี และ 18.8 % ของรายจ่ายรัฐบาลกลางในปี 2011[366]
ฐานงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่เสนอไว้สำหรับปี 2012 มูลค่า 553,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2011 หรือเพิ่ม 118,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทัพในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน[367] ทหารอเมริกันชุดสุดท้ายที่รับราชการในประเทศอิรักออกจากประเทศในเดือนธันวาคม 2011[368]ข้าราชการทหาร 4,484 นายถูกฆ่าระหว่างสงครามอิรัก[369] มีทหารสหรัฐประมาณ 90,000 นายกำลังรับราชการอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานในเดือนเมษายน 2012[370] ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 มีทหารเสียชีวิต 2,285 นายในสงครามในอัฟกานิสถาน[371]
อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐ, อาชญากรรมในสหรัฐ, กฎหมายสหรัฐ, การกักขังในสหรัฐ, โทษประหารชีวิตในสหรัฐ และ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐครั้งที่สอง
การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบของกรมตำรวจท้องถิ่นเป็นหลัก[372]การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ (sheriff) โดยมีตำรวจของรัฐบริการกว้างกว่า กรมตำรวจนครนิวยอร์กเป็นตำรวจท้องที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น สำนักงานสอบสวนกลาง(เอฟบีไอ) และราชการพนักงานศาลแขวง (Marshals Service) ของสหรัฐมีหน้าที่ชำนัญพิเศษ ซึ่งรวมการพิทักษ์สิทธิพลเมือง ความมั่นคงของชาติและบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลกลางและกฎหมายกลางของสหรัฐ[373] ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบทุกรัฐ ระบบกฎหมายใช้แบบคอมมอนลอว์ ศาลของรัฐตัดสินคดีอาญาส่วนใหญ่ ศาลกลางรับผิดชอบอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่างตลอดจนคดีอุทธรณ์จากศาลอาญาของรัฐ การต่อรองคำรับสารภาพในสหรัฐพบดาษดื่น คดีอาญาส่วนใหญ่ในประเทศระงับด้วยการต่อรองคำรับสารภาพมิใช่การพิจารณาของคณะลูกขุน[374]
ในปี ค.ศ. 2015 มีการฆ่าคน 15,696 ครั้ง ซึ่งมากกว่าปี ค.ศ. 2014 จำนวน 1,532 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี ค.ศ. 1971[375] อัตราการฆ่าคนในปี 2015 อยู่ที่ 4.9 คนต่อประชากร 100,000 คน[376] ในปี 2016 อัตราการฆ่าคนเพิ่มขึ้น 8.6% โดยมีการฆ่าคน 17,250 ครั้งในปีนั้น[377] อัตราการชำระคดี (clearance rate) สำหรับการฆ่าคนของประเทศในปี 2015 อยู่ที่ร้อยละ 64.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 90 ในปี 1965[378] ในปี 2012 มีการฆ่าคน 4.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 จากยอดสูงสุด 10.2 ในปี 1980[379] ในปี 2001–2 สหรัฐมีระดับอาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงจากปืนสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น[380] การวิเคราะห์ตามขวางของฐานข้อมูลการตายขององค์การอนามัยโลกจากปี 2010 แสดงว่าสหรัฐ "มีอัตราการฆ่าคนสูงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น 7.0 เท่า ซึ่งมีสาเหตุจากอัตราการฆ่าคนด้วยปืนซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น 25.2 เท่า"[381] สิทธิความเป็นเจ้าของปืนเป็นหัวข้อการถกเถียงทางการเมืองพิพาท
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ถึง ค.ศ. 2008 ชายคิดเป็นร้อยละ 77 ของผู้ถูกฆ่า และร้อยละ 90 ของผู้ก่อเหตุ ผิวดำก่อเหตุฆ่าคนร้อยละ 52.5 ของทั้งหมดในช่วงนั้น เป็นอัตราเกือบแปดเท่าของผิวขาว (ซึ่งรวมฮิสแปนิกส่วนใหญ่) และเป็นผู้เสียหายมากเป็นหกเท่าของผิวขาว การฆ่าคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเดียวกัน โดยผู้ถูกฆ่าผิวดำร้อยละ 93 ถูกผิวดำฆ่า และผิวขาว 84% ถูกผิวขาวฆ่า[382] ในปี 2012 รัฐลุยเซียนามีอัตราการฆ่าคนและการทำให้คนตายโดยประมาทสูงสุด และรัฐนิวแฮมพ์เชียร์มีอัตราต่ำสุด[383] รายงานอาชญากรรมเอกรูปของเอฟบีไอประมาณว่ามีอาชญากรรมรุนแรงและอาชญากรรมต่อทรัพย์สิน 3,246 ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 รวมมีอาชญากรรมทั้งสิ้นกว่า 9 ล้านครั้ง[384]
มีการอนุมัติโทษประหารชีวิตในสหรัฐสำหรับอาชญากรรมรัฐบาลกลางและทหารบางอย่าง และมีใช้ใน 31 รัฐ[385] ไม่มีการประหารชีวิตระหว่างปี 1967 ถึง 1977 บางส่วนเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐวางข้อกำหนดโทษประหารชีวิตตามอำเภอใจ ในปี 1976 ศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าภายใต้พฤติการณ์ที่เหมาะสม อาจบังคับโทษประหารชีวิตได้ตามรัฐธรรมนูญ นับแต่คำวินิจฉัยนั้น มีการประหารชีวิตกว่า 1,300 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามรัฐ ได้แก่ รัฐเท็กซัส เวอร์จิเนียและโอกลาโฮมา[386] ขณะเดียวกัน หลายรัฐเลิกหรือให้โทษประหารชีวิตเป็นโมฆะ ในปี 2015 สหรัฐมีจำนวนการประหารชีวิตสูงสุดในโลกเป็นอันดับห้า รองจากประเทศจีน อิหร่าน ปากีสถานและซาอุดีอาระเบีย[387]
สหรัฐมีอัตราการกักขังที่มีบันทึกและประชากรเรือนจำทั้งหมดสูงสุดในโลก[388] ตั้งแต่ต้นปี 2008 มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนถูกกักขัง คิดเป็นกว่า 1 คนในผู้ใหญ่ 100 คน[389] ในเดือนธันวาคม 2012 ระบบการดัดสันดานผู้ใหญ่ของสหรัฐรวมควบคุมดูแลผู้กระทำผิดประมาณ 6,937,000 คน ผู้อยู่อาศัยผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 35 คนในสหรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการดัดสันดานอย่างใดอย่างหนึ่งในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ปี 1997[390] ประชากรเรือนจำเพิ่มขึ้นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980[391] และรายจ่ายของรัฐและท้องถิ่นด้านเรือนจำและคุกเพิ่มขึ้นสามเท่าของรายข่ายด้านศึกษาธิการในช่วงเวลาเดียวกัน[392] อย่างไรก็ดี อัตราการจำคุกสำหรับนักโทษทุกคนที่ได้รับโทษจำคุกมากกว่าหนึ่งปีในสถานที่ของรัฐหรือรัฐบาลกลางอยู่ที่ 478 คนต่อ 100,000 คนในปี 2013[393] และอัตรานักโทษก่อนพิจารณา/ระหว่างพิจรารณาอยู่ที่ 153 คนต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012[394]อัตราการกักขังที่สูงของประเทศนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติคำพิพากษาและนโยบายยาเสพติด[395] จากข้อมูลของกรมเรือนจำกลาง ผู้ต้องขังส่วนมากที่ถูกขังในเรือนจำกลางต้องโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด[396] การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชนซึ่งเรือนจำและราชการเรือนจำซึ่งเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นหัวข้อถกเถียง[397][398]ในปี 2008 รัฐลุยเซียนามีอัตราการกักขังสูงสุด[399] ส่วนรัฐเมนมีต่ำสุด[400]
เศรษฐกิจ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: เศรษฐกิจสหรัฐ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
จีดีพีตามตัวเลข$18.45 ล้านล้าน (Q2 2016)[401]
การเติบโตของจีดีพีจริง1.4% (Q2 2016)[401]
2.6% (2015)[402]
อัตราเงินเฟ้อ ซีพีไอ1.1% (สิงหาคม 2016)[403]
สัดส่วนการจ้างงานต่อประชากร59.7% (สิงหาคม 2016)[404]
การว่างงาน4.9% (สิงหาคม 2016)[405]
อัตราการมีส่วนร่วมแรงงาน62.8% (สิงหาคม 2016)[406]
หนี้สาธารณะ$19.808 ล้านล้าน (25 ตุลาคม 2016)[407]
มูลค่าสุทธิครัวเรือน$89.063 ล้านล้าน (Q2 2016)[408]
แผนผังรายการส่งออกของสหรัฐปี 2011: สหรัฐเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองของโลกสหรัฐมีเศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม[409] ซึ่งขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และผลิตภาพที่สูง[410] จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอยู่ที่ 16.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 24% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อัตราแลกเปลี่ยนตลาด และกว่า 19% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อำนาจซื้อเสมอภาค (PPP)[411]
จีดีพีตามตัวเลขของสหรัฐโดยประมาณอยู่ที่ 17.528 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2014[412] ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2008 การเติบโตของจีดีพีต่อปีแบบทบต้นแท้จริง (real compounded annual GDP growth) อยู่ที่ 3.3% เทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับประเทศจี7 ที่เหลือ[413] จีดีพีต่อหัวสหรัฐจัดอยู่อันดับเก้าของโลก[414][415] และมีจีดีพีต่อหัวที่พีพีพีอันดับหก[411] ดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินตราสำรองหลักของโลก[416]
สหรัฐเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่สุดและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับสอง แม้การส่งออกต่อหัวจะค่อนข้างต่ำ ในปี 2010 การขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 635,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[417] ประเทศแคนาดา จีน เม็กซิโกญี่ปุ่น และเยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุด[418] ในปี ค.ศ. 2010 น้ำมันเป็นโภคภัณฑ์นำเข้ามากที่สุด ขณะที่อุปกรณ์ขนส่งเป็นสินค้าออกใหญ่ที่สุดของประเทศ[417] ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหนี้สาธารณะต่างชาติรายใหญ่สุดของสหรัฐ[419] ผู้ถือหนี้สหรัฐสูงสุดเป็นองค์การของสหรัฐเอง รวมทั้งบัญชีของรัฐบาลกลางและระบบธนาคารกลางที่ถือหนี้ส่วนใหญ่[420][421][422][423]
ในปี ค.ศ. 2009 ประมาณว่าภาคเอกชนประกอบเป็น 86.4% ของเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น (รวมเงินโอนของรัฐบาลกลาง) เป็น 9.3% ที่เหลือ[424] จำนวนลูกจ้างของรัฐบาลทุกระดับมากกว่าลูกจ้างในส่วนการผลิต 1.7 ต่อ 1[425] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถึงระดับการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม (postindustrial) แล้วโดยภาคบริการประกอบเป็น 67.8% ของจีดีพี แต่สหรัฐยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม[426] สาขาธุรกิจชั้นนำตามรายการรับ (gross business receipt) ได้แก่การค้าส่งและปลีก ส่วนภาคการผลิตเป็นภาคที่มีรายรับสุทธิสูงสุด[427] ในแบบธุรกิจแฟรนไชส์ แมคโดนัลด์และซับเวย์เป็นยี่ห้อที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดในโลกสองยี่ห้อ โคคา-โคล่าเป็นบริษัทน้ำอัดลมที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีที่สุด[428]
เคมีภัณฑ์เป็นสาขาการผลิตชั้นนำ[429] สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุดอันดับสอง[430] สหรัฐเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ตลอดจนแก๊สธรรมชาติเหลว กำมะถัน ฟอสเฟต และเกลือ
แม้ว่าภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจีดีพี[426] แต่สหรัฐเป็นผู้ผลิตข้าวโพด[431] และถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก[432] สหรัฐเป็นผู้ผลิตและปลูกอาหารดัดแปรพันธุกรรมหลัก โดยคิดเป็นกึ่งหนึ่งของพืชไบโอเทคของโลก[433]
การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2015[434] ในเดือนสิงหาคม 2010 มีแรงงานอเมริกัน 154.1 ล้านคน สาขาการจ้างงานใหญ่สุด คือ ภาครัฐบาล 21.2 ล้านคน การจ้างงานภาคเอกชนใหญ่สุดคือ สาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์ จำนวน 16.4 ล้านคน คนงานประมาณ 12% อยู่ในสหภาพ เทียบกับ 30% ในยุโรปตะวันตก[435] ธนาคารโลกจัดสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความง่ายในการจ้างและไล่คนงาน[436] สหรัฐจัดอยู่อันดับต้นหนึ่งในสามในรายงานความสามารถการแข่งขันโลก (Global Competitiveness Report) เช่นกัน สหรัฐมีรัฐสวัสดิการขนาดเล็กและกระจายรายได้ผ่านการกระทำของรัฐบาลน้อยกว่าชาติยุโรป[437]
สหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าประเทศเดียวที่ไม่รับประกันการหยุดงานโดยจ่ายค่าจ้าง (paid vacation) แก่คนงาน[438] และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการหยุดงานเลี้ยงบุตรโดยจ่ายค่าจ้าง (family leave) เป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยมีประเทศอื่น เช่น ปาปัวนิวกินี ซูรินาม ไลบีเรีย[439] แม้ปัจจุบันกฎหมายกลางไม่รับประกันการลาป่วย แต่เป็นผลประโยชน์ทั่วไปของคนงานของรัฐบาลและพนักงานเต็มเวลาของบริษัท[440] ตามข้อมูลของกรมสถิติแรงงาน คนงานอเมริกันเต็มเวลา 74% ลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง แม้คนงานไม่เต็มเวลาเพียง 24% ได้รับผลประโยชน์เดียวกัน[440] ในปี 2009 สหรัฐมีผลิตภาพกำลังแรงงานต่อบุคคลสูงสุดเป็นอันดับสามในโลก รองจากลักเซมเบิร์กและนอร์เวย์ สหรัฐมีผลิตภาพต่อชั่วโมงสูงสุดเป็นอันดับสี่ รองจากสองประเทศดังกล่าวและเนเธอร์แลนด์[441]
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปี 2008–2012 มีผลกระทบต่อสหรัฐย่างสำคัญ โดยมีผลผลิตต่ำกว่าศักยะตามข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา[442] ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการว่างงานสูง (ซึ่งลดลงแล้วแต่ยังสูงกว่าระดับก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ การเสื่อมของมูลค่าบ้านอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการบังคับเอาทรัพย์จำนองหลุดและการล้มละลายของบุคคล วิกฤตหนี้รัฐบาลกลางบานปลาย ภาวะเงินเฟ้อ และราคาปิโตรเลียมและอาหารเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังมีสัดส่วนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นสถิติ รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องและภาษีและงบประมาณรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น
สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) พบว่า อุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2009[443] และยังเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2014 นำหน้าประเทศรัสเซีย จีนและเยอรมนี[444]
รายได้ ความยากจน และความมั่งคั่ง[แก้]
การพัฒนาบ้านจัดสรรในซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนียชาวอเมริกันมีรายได้ครัวเรือนและจากการจ้างงานเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาชาติองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) และในปี ค.ศ. 2007 มีรายได้ครัวเรือนมัธยฐานสูงสุดเป็นอันดับสอง[445][446][447] ตามข้อมูลของสำนักสำมะโน รายได้ครัวเรือนมัธยฐานคือ 59,039 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2016[448] แม้ประชากรอเมริกันมีเพียง 4.4% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันรวมครอบครองความมั่งคั่ง 41.6% ของโลก[449] และเศรษฐีเงินล้าน (millionaire) ประมาณกึ่งหนึ่งของโลกเป็นชาวอเมริกัน[450] ดัชนีความมั่นคงอาหารโลกจัดอันดับสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความสามารถมีอาหาร (food affordability) และความมั่นคงอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคม 2013[451] ชาวอเมริกันเฉลี่ยมีพื้นที่อยู่อาศัยต่อเคหสถานและต่อบุคคลสูงกว่าผู้อยู่อาศัยในสหภาพยุโรปกว่าสองเท่า และมากกว่าประเทศสหภาพยุโรปทุกประเทศ[452] ในปี 2013 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหรัฐอยู่อันดับ 5 จาก 187 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความไม่เสมอภาคแล้วอยู่อันดับที่ 28[453]
หลังการเติบโตชะงักมาหลายปี ในปี ค.ศ. 2016 ข้อมูลจากสำมะโนระบุว่า รายได้ครัวเรือนมัธยฐานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังการเติบโตสูงสุดสองปีติดต่อกัน แม้ว่าความไม่เสมอภาคของรายได้ยังสูงสุดโดยผู้มีรายได้สูงสุด 20% มีรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งหมด[454] มีช่องว่างระหว่างผลิตภาพและรายได้มัธยฐานกว้างขึ้นนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970[455] ทว่า ช่องว่างระหว่างค่าตอบแทนทั้งหมดและผลิตภาพไม่กว้างเท่าอันเนื่องมาจากมีผลประโยชน์ของลูกจ้างเพิ่มขึ้น เช่น ประกันสุขภาพ[456] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 มีสัดส่วนรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากร้อยละ 9 ในปี ค.ศ. 1976 เป็นร้อยละ 20 ในปี ค.ศ. 2011 กระทบต่อความไม่เสมอภาคของรายได้อย่างสำคัญ[457] ทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้กว้างที่สุดในบรรดาประเทศโออีซีดีประเทศหนึ่ง[458] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 คิดเป็นร้อยละ 52 ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ถึงปี ค.ศ. 2015 ทั้งนี้ นิยามรายได้ว่าเป็นรายได้ตลาดไม่รวมเงินโอนของรัฐบาล[459]
ความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครอบครัวสหรัฐที่มา: การสำรวจการคลังผู้บริโภคของระบบธนาคารกลางสหรัฐ[460]19982013เปลี่ยนแปลง
ทุกครอบครัว$102,500$81,200-20.8%
รายได้ต่ำสุด 20%$8,300$6,100-26.5%
รายได้ต่ำสุดรองลงมา 20%$47,400$22,400-52.7%
รายได้กลาง 20%$76,300$61,700-19.1%
รายได้สูงสุด 10%$646,600$1,130,700+74.9%ความมั่งคั่ง รายได้และภาษี กระจุกสูง กล่าวคือ ประชากรผู้ใหญ่ที่รวยที่สุด 10% ครอบครองความมั่งคั่งครัวเรือนของประเทศ 72% ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครอบครองเพียง 2%[461] ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึงพฤศจิกายน 2008 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ราคาสินทรัพย์ตกลงทั่วโลก ทรัพย์สินที่ชาวอเมริกันถือครองเสียมูลค่าประมาณหนึ่งในสี่[462] นับแต่ความมั่งคั่งครัวเรือนสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งครัวเรือนลดลง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากนั้นเพิ่มขึ้น 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าระดับเมื่อปี 2006[463][464] เมื่อสิ้นปี 2014 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[465] ลดลงจาก 13.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นปี 2008[466]
มีประชากรไร้บ้านแบบมีและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 578,424 คนในสหรัฐในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 โดยเกือบสองในสามอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยฉุกเฉินหรือโครงการเคหะช่วงเปลี่ยนสภาพ[467] ในปี 2011 มีเด็ก 16.7 ล้านคนอาศยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีความปลอดภัยทางอาหาร เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับระดับปี 2007 แม้เด็กสหรัฐเพียง 1.1% หรือ 845,000 คนกินอาหารลดลงหรือมีรูปแบบการกินถูกรบกวนในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนั้น และแทบทั้งสิ้นไม่เป็นแบบเรื้อรัง[468] ตามรายงานปี ค.ศ. 2014 ของกรมสำมะโน ปัจจุบันผู้ใหญ่ตอนต้นหนึ่งในห้าคนยากจน เพิ่มขึ้นจากหนึ่งในเจ็ดในปี 1980[469]
โครงสร้างพื้นฐาน[แก้]การขนส่ง[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การขนส่งในสหรัฐ
ระบบทางหลวงอินเตอร์สเตตซึ่งมีความยาว 75,440 กิโลเมตร[470]การขนส่งส่วนบุคคลใช้รถยนต์เป็นหลัก สหรัฐมีเครือข่ายถนนสาธารณะของ 6.4 ล้านกิโลเมตร[471] มีระบบทางหลวงที่ยาวที่สุดในโลกแห่งหนึ่งซึ่งยาว 91,700 กิโลเมตร[472] สหรัฐเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดอันดับสองของโลก[473] สหรัฐมีอัตราการเป็นเจ้าของยานพาหนะต่อหัวสูงสุดในโลก โดยมี 765 คันต่ออเมริกัน 1,000 คน[474] ประมาณ 40% ของยานพาหนะส่วนบุคคลเป็นรถตู้, รถอเนกประสงค์ (SUV) หรือรถบรรทุกเบา[475] ผู้ใหญ่อเมริกันโดยเฉลี่ย (นับรวมหมดทั้งผู้ขับและผู้ไม่ขับ) ใช้เวลา 55 นาทีขับรถ เดินทาง 47 กิโลเมตรต่อวัน[476]
การเดินทางไปทำงานในสหรัฐใช้ขนส่งมวลชนประมาณ 9%[477][478] มีการขนส่งสินค้าทางรางอย่างกว้างขวาง แต่มีจำนวนผู้โดยสารค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 31 ล้านคนต่อปี) ใช้รถรางระหว่างนครเดินทาง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะความหนาแน่นของประชากรด้านในแผ่นดินของสหรัฐส่วนใหญ่ต่ำ[479][480] อย่างไรก็ดี จำนวนผู้โดยสารแอมแทร็ก ซึ่งเป็นระบบรางโดยสารระหว่างนครแห่งชาติ เติบโตเกือบ 37% ระหว่างปี 2000 ถึง 2010[481] นอกจากนี้ มีการพัฒนารางเบาเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ[482] มีการใช้จักรยานไปทำงานเป็นประจำมีน้อยมาก[483]
อุตสาหกรรมสายการบินพลเรือนมีเอกชนเป็นเจ้าของทั้งหมด และส่วนใหญ่เลิกกำกับ (deregulate) ไปตั้งแต่ปี 1978 ขณะที่ท่าอากาศยานสำคัญส่วนมากเป็นของรัฐบาล[484] สายการบินใหญ่สุดในโลกนับจากจำนวนผู้โดยสาร 3 สายเป็นของสหรัฐ; อเมริกันแอร์ไลนส์เป็นที่หนึ่งหลังจากยูเอสแอร์เวย์ซื้อในปี 2013[485] ในจำนวนท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในโลก 50 แห่ง มี 16 แห่งอยู่ในสหรัฐ รวมทั้งที่หนาแน่นที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา และอันดับสี่ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ในชิคาโก[486] หลังเหตุโจมตี 11 กันยายน 2001 มีการตั้งการความปลอดภัยขนส่งเพื่อตรวจตราท่าอากาศยานและสายการบินพาณิชย์
พลังงาน[แก้]
สายส่งไฟฟ้าของสหรัฐประกอบด้วยสายยาว 300,000 กิโลเมตร มีผู้ดำเนินการประมาณ 500 บริษัท โดยมีบริษัทความเชื่อถือได้ทางไฟฟ้าอเมริกาเหนือ (NERC) เป็นผู้ควบคุมดูแลตลาดพลังงานสหรัฐมีประมาณ 29,000 ชั่วโมงเทระวัตต์ต่อปี[487] การบริโภคพลังงานต่อหัวมี 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันต่อปี คิดเป็นอัตราสูงสุดอันดับ 10 ในโลก ในปี 2005 พลังงาน 40% มาจากปิโตรเลียม 23% จากถ่านหิน และ 22% มาจากแก๊สธรรมชาติ ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานนิวเคลียร์และแหล่งพลังงานหมุนเวียน[488] สหรัฐเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมรายใหญ่สุดของโลก[489] สหรัฐมีแหล่งสำรองถ่านหินทั่วโลก 27%[490] สหรัฐเป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก[491]
พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทจำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้วอื่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจากอุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 มีการยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่[492]
การประปาและสุขาภิบาล[แก้]ปัญหาซึ่งมีผลต่อการประปาในสหรัฐรวมถึงภัยแล้งในภาคตะวันตก การขาดแคลนน้ำ มลภาวะ การลงทุนค้าง ความกังวลเกี่ยวกับการหาน้ำได้ของผู้ยากจนที่สุด และกำลังแรงงานที่กำลังเกษียณอย่างรวดเร็ว คาดหมายว่าความแปรผันได้และความรุนแรงของฝนตกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น โดยมีผลลัพธ์ที่อาจร้ายแรงต่อการประปาและมลภาวะที่เกิดจากท่อระบายรวมล้น[493][494]
ภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบเป็นพิเศษต่อชาวอเมริกันร้อยละ 66 ซึ่งชุมชนอาศัยน้ำผิวโลก[495] ในด้านคุณภาพน้ำดื่ม มีความกังวลเกี่ยวกับผลพลอยได้ของการฆ่าเชื้อ ตะกั่ว เพอร์คลอเรตและสารยา แต่โดยทั่วไปน้ำดื่มในสหรัฐมีคุณภาพดี[496]
การศึกษา[แก้]ดูบทความหลักที่: การศึกษาในสหรัฐ
มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียซึ่งทอมัส เจฟเฟอร์สันก่อตั้งในปี 1819 เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสหรัฐ ในสหรัฐมีการศึกษาที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนถ้วนหน้า แต่ก็มีสถาบันที่เอกชนให้ทุนสนับสนุนด้วยการศึกษาสาธารณะของสหรัฐมีรัฐบาลรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐวางระเบียบผ่านการจำกัดเงินอุดหนุนของรัฐบาลกลาง รัฐส่วนใหญ่บังคับให้เด็กเข้าศึกษาตั้งแต่อายุหกหรือเจ็ดขวบ (โดยทั่วไปคืออนุบาลหรือเกรด 1) จนอายุได้ 18 ปี (โดยทั่วไปถึงเกรด 12 จบไฮสกูล) บางรัฐอนุญาตให้นักเรียนออกจากโรงเรียนได้เมื่ออายุ 16 หรือ 17 ปี[497]
เด็กประมาณ 12% ลงทะเบียนในโรงเรียนเอกชนวงแคบหรือไม่นิยมนิกาย (nonsectarian) เด็กประมาณ 2% ได้รับการศึกษาที่บ้าน[498] สหรัฐมีรายจ่ายด้านศึกษาธิการต่อนักเรียนหนึ่งคนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก โดยมีรายจ่ายกว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนประถมหนึ่งคนในปี 2010 และกว่า 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนไฮสกูลหนึ่งคน[499] นักศึกษาวิทยาลัยสหรัฐประมาณ 80% เข้ามหาวิทยาลัยรัฐ[500]
สหรัฐมีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและรัฐบาลแข่งขันกันจำนวนมาก มหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่ที่องค์การจัดอันดับต่าง ๆ ทำรายการไว้อยู่ในสหรัฐ[501][502][503] นอกจากนี้ ยังมีวิทยาลัยชุมชนท้องถิ่นซึ่งโดยทั่วไปมีนโยบายรับนักศึกษาที่เปิดกว้างกว่า มีโครงการวิชาการสั้นกว่าและค่าเรียนน้อยกว่า ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป 84.6% จบไฮสกูล 52.6% เข้าวิทยาลัย 27.2% สำเร็จปริญญาตรี และ 9.6% สำเร็จปริญญาบัณฑิต (graduate degree)[504] อัตราการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณ 99%[187][505]สหประชาชาติกำหนดให้สหรัฐมีดัชนีการศึกษา 0.97% อยู่อันดับที่ 12 ในโลก[506]
สำหรับรายจ่ายสาธารณะในด้านอุดมศึกษา สหรัฐยังตามหลังประเทศ OECD บางประเทศ แต่คิดเป็นรายจ่ายต่อหัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD และมากกว่าทุกประเทศในรายจ่ายภาครัฐและเอกชนรวมกัน[499][507] ในปี 2012 หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าชาวอเมริกันที่เป็นหนี้บัตรเครดิต[508]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสหรัฐ และ ประวัติศาสตร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของสหรัฐ
นักบินอวกาศเจมส์ เออร์วินกำลังเดินบนดวงจันทร์ถัดจากส่วนลงจอดและยานสำรวจดวงจันทร์ของอะพอลโล 15 ในปี ค.ศ. 1971 ความพยายามไปดวงจันทร์เป็นผลมาจากการแข่งขันอวกาศสหรัฐเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการวิจัยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 สหรัฐพัฒนาวิธีการผลิตชิ้นส่วนสับเปลี่ยนได้โดยคลังอาวุธกลาง กระทรวงสงครามสหรัฐ ระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีดังกล่าว ร่วมกับการสถาปนาอุตสาหกรรมเครื่องมือกล ทำให้สหรัฐผลิตเครื่องจักรเย็บผ้า จักรยานและสินค้าอื่นขนาดใหญ่ได้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายมาเป็นระบบการผลิตแบบอเมริกา มีการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการริเริ่มสายการผลิตและเทคนิคประหยัดแรงงานแบบอื่นก่อให้เกิดระบบที่เรียก การผลิตขนานใหญ่ (mass production)[509]
ในปี ค.ศ. 1876 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐครั้งแรกสำหรับโทรศัพท์ ห้องปฏิบัติการของทอมัส เอดิสันได้พัฒนาหีบเสียง หลอดไฟที่ใช้ได้นานหลอดแรกและกล้องภาพยนตร์ที่ทำงานได้ตัวแรก[510] ซึ่งการพัฒนากล้องดังกล่าวทำให้เกิดอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัทรถยนต์ของแรนซัม อี. โอลส์และเฮนรี ฟอร์ดทำให้สายการผลิตเป็นที่นิยม ในปี 1903 พี่น้องตระกูลไรต์ขับเครื่องบินครั้งแรกโดยใช้เครื่องบินพลังงานที่หนักกว่าอากาศแบบคงทนและควบคุมได้[511]
ความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์และนาซีในคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปจำนวนมาก รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เอนรีโก แฟร์มี และจอห์น ฟอน นอยมันน์เข้าเมืองสหรัฐ[512] ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการแมนฮัตตันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นำไปสู่ยุคอะตอม ขณะที่การแข่งขันด้านอวกาศสร้างความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านจรวด, วัสดุศาสตร์ และวิชาการบิน[513][514]
การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมด นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากและการขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างสำคัญ[515][516][517] จากนั้นนำไปสู่การก่อตั้งบริษัทและภูมิภาคเทคโนโลยีใหม่จำนวนมากรอบประเทศ อย่างเช่น ในซิลิคอนแวลลีย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การก้าวหน้าของบริษัทไมโครโปรเซสเซอร์อเมริกาอย่างแอดแวนซ์ไมโครดีไวซ์ (AMD) และอินเทลร่วมกับทั้งก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งรวมอะโดบีซิสเต็มส์ บริษัทแอปเปิล ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และซันไมโครซิสเต็มส์และทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม มีการพัฒนาอาร์ปาเน็ต (ARPANET) ในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อให้บรรลุข้อกำหนดของกระทรวงกลาโหม และกลายเป็นชุดเครือข่ายชุดแรกซึ่งพัฒนาเป็นอินเทอร์เน็ต[518]
ความก้าวหน้าดังนี้นำไปสู่การทำให้มีลักษณะบุคคลซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการใช้ของปัจเจก[519] ในปี ค.ศ. 2013 ครัวเรือนอเมริกัน 83.8% เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 73.3% มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง[520] ชาวอเมริกัน 91% ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013[521]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุนวิจัยและพัฒนาประมาณสองในสามมาจากภาคเอกชน[522] สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านงานวิจัยวิทยาศาสตร์และอิมแพกแฟกเตอร์ (impact factor)[523]
สุขภาพ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: สาธารณสุขในสหรัฐ, การปฏิรูปสาธารณสุขในสหรัฐ และ ประกันสุขภาพในสหรัฐ
โรงพยาบาลนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียนในนครนิวยอร์กเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสหรัฐมีความคาดหมายการคงชีพที่ 79.8 ปีเมื่อเกิด เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี ค.ศ. 1990[524][525][526] อัตราภาวะการตายของทารกอยู่ที่ 6.17 คนต่อ 1,000 คน ทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 56 นับจากต่ำสุดจากทั้งหมด 224 ประเทศ[527]
การเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในสหรัฐและการปรับปรุงสุขภาพในด้านอื่นมีส่วนลดอันดับการคาดหมายการคงชีพจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี ค.ศ. 1987 เหลือ 42 ในปี ค.ศ. 2007[528] อัตราโรคอ้วนในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก[529][530] ประชากรผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน[531]บุคลากรสาธารณสุขถือว่าเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนเป็นโรคระบาด[532]
ในปี ค.ศ. 2010 โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและอุบัติเหตุจราจรเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในสหรัฐ การเจ็บหลังส่วนล่าง โรคซึมเศร้า โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การปวดคอและความวิตกกังวลเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีแก่ทุพพลภาพมากที่สุด ปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ได้แก่ อาหารเลว การสูบบุหรี่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลสูงในเลือด การขาดการออกกำลังกายและการใช้แอลกอฮอล์ โรคอัลไซเมอร์ การใช้ยาเสพติด โรคไตและมะเร็ง และการพลัดตกหกล้มเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในอัตราต่อหัวปรับตามอายุปี ค.ศ. 1990[526] อัตราการตั้งครรภ์และการแท้งในวัยรุ่นสหรัฐสูงกว่าประเทศตะวันตกอื่นอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในหมู่คนดำและฮิสแปนิก[533]
สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สหรัฐพัฒนาแต่ผู้เดียวหรือมีส่วนร่วมอย่างสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ตามการสำรวจความเห็นแพทย์ปี ค.ศ. 2001 ส่วนสหภาพยุโรปและสวิสเซอร์แลนด์ร่วมกันมีส่วนร่วม 5 นวัตกรรม[534] ตั้งแต่ปี 1966 มีชาวอเมริกันได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์มากกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ถึงปี ค.ศ. 2002 มีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามากกว่าทวีปยุโรปสี่เท่า[535] ระบบสาธารณสุขของสหรัฐใช้เงินมากกว่าประเทศอื่นมากเมื่อวัดทั้งรายจ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี[536]
การคุ้มครองสาธารณสุขในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามของภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี ค.ศ. 2014 ประชากร 13.4 % ไม่มีประกันสุขภาพ[537] หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ[538][539] ในปี ค.ศ. 2006 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า[540] กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านในช่วงต้นปี 2010 มุ่งสร้างระบบประกันสุขภาพเกือบถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบบั้นปลายของมันยังเป็นข้อถกเถียงอยู่[541][542]
วัฒนธรรม[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วัฒนธรรมสหรัฐ, ชั้นทางสังคมในสหรัฐ, วันหยุดสาธารณะในสหรัฐ และ การท่องเที่ยวในสหรัฐสหรัฐเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ[13][543] นอกเหนือจากประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมือง อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทั้งหมดตั้งรกรากหรือเข้าเมืองภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา[544] วัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากประเพณีของผู้เข้าเมืองชาวยุโรปที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีที่ทาสจากทวีปแอฟริกานำเข้ามา[13][545] การเข้าเมืองล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เรียกว่าเป็นทั้งหม้อหลอมเป็นเนื้อเดียวกันและชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น[13]
แกนของวัฒนธรรมอเมริกันก่อตั้งขึ้นโดยชาวอาณานิคมบริติชโปรเตสแตนต์ และเป็นรูปเป็นร่างจากกระบวนการการตั้งถิ่นฐานชายแดน โดยมีลักษณะชาติพันธุ์ที่ถูกแปลงผ่านลงไปที่ลูกหลาน และส่งต่อไปยังผู้เข้าเมืองผ่านทางการผสมกลมกลืน ชาวอเมริกันแต่เดิมมีคุณสมบัติจริยธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง ความชอบแข่งขัน และปัจเจกนิยม[546] เช่นเดียวกับความเชื่อหนึ่งเดียวใน "หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ ความเสมอภาค ทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาธิปไตย นิติธรรม และความนิยมการปกครองที่จำกัด[547] ชาวอเมริกันมีใจกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก ตามการศึกษาของบริติชในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP ให้การกุศล มากกว่าประเทศอื่น ๆ มากกว่าบริติชที่อยู่อันดับสองที่ 0.73 % ถึงสองเท่า และประมาณสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%[548][549]
ฝันอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมสูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าเมือง[550] ไม่ว่าการรับรู้นี้เป็นจริงหรือไม่ยังเป็นหัวข้อการอภิปราย[551][552][553][554][413][555] แม้วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น[556] แต่นักวิชาการระบุความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างชนชั้นทางสังคมต่าง ๆ ของประเทศ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคม ภาษาและค่านิยม[557] ภาพลักษณ์ตนเอง มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขาในระดับที่ใกล้ชิดผิดปกติ[558] แม้ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้คุณค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม แต่โดยทั่วไปก็มองว่าการเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ยเป็นคุณลักษณะในทางบวก[559]
อาหาร[แก้]
พายแอปเปิลเป็นอาหารที่ปกติสัมพันธ์กับอาหารอเมริกันอาหารอเมริกันกระแสหลักคล้ายกับอาหารในประเทศตะวันตกอื่น ข้าวสาลีเป็นธัญพืชหลัก โดยผลิตภัณฑ์ธัญพืชประมาณสามในสี่ทำจากแป้งข้าวสาลี[560] และอาหารหลายชนิดใช้ส่วนประกอบพื้นเมือง เช่น ไก่งวง เนื้อกวาง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด น้ำเต้าและน้ำเชื่อมเมเปิลซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปสมัยแรกเริ่มบริโภค[561] อาหารที่ปลูกในท้องถิ่นนี้ถือเป็นเมนูของชาติร่วมกันในวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นวันหยุดยอดนิยมวันหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันบางส่วนประกอบอาหารตามประเพณีเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสนั้น[562]
อาหารอันเป็นลักษณะ เช่น พายแอปเปิล ไก่ทอด พิซซา แฮมเบอร์เกอร์และฮอตดอกมาจากตำรับของผู้เข้าเมืองต่าง ๆ มันฝรั่งทอด อาหารเม็กซิกันอย่างเบอร์ริโตและทาโก และอาหารพาสตาซึ่งรับมาจากแหล่งของอิตาลีอย่างอิสระมีการบริโภคอย่างแพร่หลาย[563] ชาวอเมริกันดื่มกาแฟมากกว่าชาสามเท่า[564] การตลาดโดยอุตสาหกรรมสหรัฐเป็นเหตุหลักให้ผลิตน้ำส้มและนม เครื่องดื่มอาหารเช้าที่พบทั่วไป[565][566]
อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนของสหรัฐ ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก[567] นำร่องรูปแบบขับผ่าน (drive-through) ในคริสต์ทศวรรษ 1940[568]การบริโภคอาหารจานด่วนทำให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 การบริโภคแคลอรีของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 24%[563] การกินอาหารที่ร้านอาหารจานด่วนบ่อยขึ้นสัมพันธ์กับที่ข้าราชการสาธารณสุขเรียกว่า "โรคอ้วนระบาด" ของอเมริกา[569] น้ำอัดลมใส่น้ำตาลสูงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเครื่องดื่มใส่น้ำตาลคิดเป็นร้อยละ 9 ของการรับแคลอรีของชาวอเมริกัน[570]
ภาพยนตร์[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ภาพยนตร์ของสหรัฐ
ป้ายฮอลลีวูดในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียฮอลลีวูด ย่านตอนเหนือของลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในด้านการผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง[571] นิทรรศการภาพยนตร์พาณิชย์แห่งแรกของโลกจัดขึ้นในนครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้ไคนีโตสโคปของทอมัส เอดิสัน[572] ปีถัดมามีการจัดแสดงพาณิชย์ครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์ฉาย (projected film) ในนิวยอร์กเช่นกัน และสหรัฐเป็นแนวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในหลายศวรรษถัดมา ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบฮอลลีวูด แม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จะมีภาพยนตร์ที่มิได้ผลิตที่นี่เพิ่มขึ้น และบริษัทภาพยนตร์ต่างได้รับอิทธิพลจากแรงของโลกาภิวัฒน์[573]
ผู้กำกับ ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิท ผู้ผลิตภาพยนตร์อันดับหนึ่งของสหรัฐระหว่างยุคภาพยนตร์เงียบ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของไวยากรณ์ภาพยนตร์ และผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ วอลต์ ดิสนีย์เป็นผู้นำทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันและการขายภาพยนตร์[574] ผู้กำกับอย่างจอห์น ฟอร์ดขัดเกลาภาพของอเมริกันโอลด์เวสต์และประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกับผู้อื่นอย่างจอห์น ฮิวสตันขยายโอกาสของภาพยนตร์ด้วยการถ่ายทำสถานี โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้กำกับสมัยหลัง อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีปีทอง เรียกกันทั่วไปว่า "ยุคทองของฮอลลีวูด" ตั้งแต่สมัยเสียงตอนต้นถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960[575] โดยมีนักแสดงอย่างจอห์น เวย์นและมาริลิน มอนโรกลายเป็นบุคคลสัญรูป[576][577]ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างมาร์ติน สกอร์เซซี, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และรอเบิร์ต แอลท์แมนเป็นส่วนสำคัญในสิ่งที่ต่อมาเรียก "ฮอลลีวูดใหม่" หรือ "ฮอลลีวูดเรอเนซองส์"[578] ภาพยนตร์อาจหาญซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพสัจนิยมของฝรั่งเศสและอิตาลีของสมัยหลังสงคราม[579] นับแต่นั้น ผู้กำกับอย่างสตีเฟน สปีลเบิร์ก, จอร์จ ลูคัสและเจมส์ แคเมรอนได้รับชื่อเสียงจากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ ซึ่งมีลักษณะค่าถ่ายทำสูง และได้รับรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศตอบแทน โดยภาพยนตร์ อวตาร ของแคเมรอน (2009) ได้รับรายได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[580]
ภาพยนตร์สำคัญที่ติดอันดับเอเอฟไอ 100 ของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันรวมถึง ซิติเซนเคน ของออร์สัน เวลส์ (1941) ซึ่งมักถูกกล่าวขานบ่อย ๆ ว่าเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล[581][582] คาซาบลังกา (1942), เดอะ ก็อดฟาเธอร์ (1972), วิมานลอย (1939), เดอะวิซาร์ดออฟออซ (1939), เดอะแกรดูเอท (1967), ออนเดอะวอเทอร์ฟรอนต์ (1952), ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม (1993), ซิงกิงอินเดอะเรน (1952), อิตส์อะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ (1946) และ ซันเซ็ตบูลละวาร์ด (1950)[583] สำนักศิลป์และศาสตร์ภาพยนตร์จัดรางวัลอะคาเดมี ที่นิยมเรียกว่า ออสการ์ ทุกปีตั้งแต่ปี 1929[584] และรางวัลลูกโลกทองคำจัดทุกปีนับแต่เดือนมกราคม 1944[585]
วรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วรรณคดีอเมริกัน, ปรัชญาอเมริกัน, ทัศนศิลป์สหรัฐ และ ดนตรีคลาสสิกอเมริกัน
มาร์ก ทเวน นักประพันธ์และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกันในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะและวรรณกรรมอเมริกันรับเจตนารมณ์ส่วนใหญ่จากทวีปยุโรป นักเขียนอย่างแนแธเนียล ฮอว์ธอร์น, เอดการ์ แอลลัน โพและเฮนรี เดวิด ทอโรสถาปนาเสียงวรรณกรรมอเมริกันที่โดดเด่นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาร์ก ทเวนและกวี วอลท์ วิทแมน เป็นบุคคลสำคัญในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ; เอมิลี ดิกคินสัน ซึ่งแทบไม่มีผู้ใดรู้จักเธอครั้งยังมีชีวิต ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นกวีอเมริกันคนสำคัญ[586] งานที่ถูกมองว่าเป็นการจับภาพลักษณะพื้นฐานของประสบการณ์และคุณลักษณะของชาติ เช่น โมบิดิก ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ (1851) การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี ฟินน์ ของทเวน (1885) และรักเธอสุดที่รัก (The Great Gatsby) ของเอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์(1925) อาจได้รับขนานนามว่า "นวนิยายอเมริกันยิ่งใหญ่"[587]
พลเมืองสหรัฐสิบสองคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ล่าสุดคือ บ็อบ ดิลลันในปี 2016 วิลเลียม ฟอล์คเนอร์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และจอห์น สไตน์เบ็คมักจะมีชื่ออยู่ในหมู่นักเขียนที่มีอิทธิพลสูงสุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20[588] ประเภทของวรรณกรรมยอดนิยม เช่น ตะวันตกและบันเทิงคดีอาชญากรรม ฮาร์ดบอยด์ ที่พัฒนาในสหรัฐ นักเขียนรุ่นบีต (Beat Generation) เปิดแนวทางวรรณกรรมใหม่ ซึ่งมีผู้ประพันธ์หลังสมัยใหม่ เช่น จอห์น บาร์ท, ทอมัส พินชอนและดอน เดอลิลโล[589]
นักคตินิยมเหนือเหตุผลซึ่งมีทอโรและราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สันเป็นผู้นำ สถาปนาขบวนการปรัชญาอเมริกันสำคัญขบวนการแรก หลังสงครามกลางเมือง ชาลส์ แซนเดอร์ เพิร์ซ และวิลเลียม เจมส์และจอห์น ดูอีในขณะนั้นเป็นหัวหน้าในการพัฒนาปฏิบัตินิยม ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 งานของดับเบิลยู. วี. โอ. ไควน์และริชาร์ด รอร์ที และต่อมา โนม ชัมสกี นำปรัชญาวิเคราะห์มาสู่ส่วนหน้าของวิชาการปรัชญาอเมริกัน จอห์น รอวส์และรอเบิร์ต โนซิกนำการรื้อฟื้นปรัชญาการเมือง คอร์เนล เวสต์และจูดิท บัตเลอร์นำประเพณีแห่งทวีปในวิชาการปรัชญาอเมริกัน นักเศรษฐศาสร์สำนักชิคาโกอย่างมิลตัน ฟรีดแมน, เจมส์ บี. บิวแคนอนและทอมัส โซลกระทบต่อสาขาต่าง ๆ ในปรัชญาสังคมและการเมือง[590][591]
ในด้านทัศนศิลป์ สกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสันเป็นขบวนการสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในด้านประเพณีของธรรมชาตินิยมแบบยุโรป จิตรกรรมสัจนิยมของทอมัส เอคินส์ปัจจุบันเป็นที่ยกย่องอย่างแพร่หลาย อาร์เมอรีโชว์ปี 1913 ในนครนิวยอร์ก นิทรรศการศิลปะสมัยใหม่แบบยุโรป ทำให้สาธารณะประหลาดใจและเปลี่ยนฉากศิลปะของสหรัฐ[592] จอร์เจีย โอคีฟ, มาร์สเดน ฮาร์ตลีย์และอื่น ๆ ได้ทดลองกับลีลาปัจเจกนิยมแบบใหม่ ขบวนการทางศิลปะที่สำคัญเช่น ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรมของแจ็กสัน พอลล็อกและวิลเลิม เดอ โกนิง และศิลปะประชานิยมของแอนดี วอร์ฮอลและรอย ลิกเทนสไตน์พัฒนาในสหรัฐเป็นส่วนมาก กระแสของนวนิยมและหลังยุคนวนิยมได้นำชื่อเสียงให้กับสถาปนิกอเมริกัน เช่น แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์, ฟิลิป จอห์นสันและแฟรงก์ เกห์รี[593] ชาวอเมริกันมีความสำคัญในสื่อภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่แต่ช้านาน โดยมีช่างภาพคนสำคัญอย่างอัลเฟรด สติกกลิซ, เอ็ดเวิร์ด สไตน์เคนและแอนเซล แอดัมส์[594]
ไทม์สแควร์ในนครนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางย่านโรงละครบรอดเวย์[595]ผู้ส่งเสริมสำคัญคนแรก ๆ ของโรงละครอเมริกัน คือ พี. ที. บาร์นัม ผู้เริ่มดำเนินงานศูนย์ความบันเทิงแมนฮัตตันตอนล่างในปี 1841 ทีมแฮร์ริแกนและฮาร์ตผลิตสุขนาฏกรรมดนตรีอันเป็นที่นิยมเป็นชุดในนิวยอร์กเริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1870 ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูปแบบดนตรีสมยัใหม่ถือกำเนิดขึ้นในบรอดเวย์; เพลงของคีตกวีละครเพลง เช่น เออร์วิง เบอร์ลิน, โคล พอร์เตอร์ และ สตีเฟน ซอนไฮม์กลายเป็นมาตรฐานป๊อป นักเขียนบทละคร ยูจีน โอนีลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1936; นักเขียนบทละครสหรัฐอื่น ๆ ที่ได้รับการยกย่อง รวมถึงผู้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์หลายสมัย เทนเนสซี วิลเลียมส์, เอ็ดเวิร์ด อัลบีและออกัส วิลสัน[596]
แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันน้อยในขณะนั้น แต่งานของ ชาลส์ ไอฟส์ในคริสต์ทศวรรษ 1910 ทำให้เขากลายเป็นนักแต่งเพลงคนแรกที่สำคัญของสหรัฐในประเพณีคลาสสิก ขณะที่นักทดลอง เช่น เฮนรี เคาเอิล (Henry Cowell) และจอห์น เคจ สร้างแนวทางอเมริกันที่โดดเด่นให้กับเพลงประพันธ์คลาสสิก แอรอน โคปลันด์และจอร์จ เกิร์ชวินพัฒนาภาวะสังเคราะห์ใหม่ของดนตรีป๊อบและคลาสสิก
นักออกแบบท่าเต้น อิซาดอรา ดันแคน และมาร์ธา เกรแฮมช่วยสร้างการเต้นรำสมัยใหม่ ในขณะที่จอร์จ บาลานไชน์และเจอโรม รอบบินส์ เป็นผู้นำบัลเลต์คริสต์ศตวรรษที่ 20
กีฬา[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: กีฬาในสหรัฐ
กีฬายอดนิยมของสหรัฐสี่อย่าง ได้แก่ อเมริกันฟุตบอล เบสบอลบาสเกตบอลและฮอกกี้น้ำแข็ง[597]อเมริกันฟุตบอลในด้านต่าง ๆ เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุด[598] เนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) มีผู้ชมเฉลี่ยของลีกกีฬาสูงสุดในโลกทุกชนิด และซูเปอร์โบวล์มีผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลก เบสบอลถือเป็นกีฬาประจำชาติสหรัฐตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยที่เมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) เป็นลีกสูงสุด บาสเกตบอลและฮ็อกกีน้ำแข็งเป็นกีฬาทีมอาชีพอันดับต้น ๆ อีกสองชนิด โดยมีลีกสูงสุดคือ สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) และลีกฮอกกี้แห่งชาติ (NHL) ฟุตบอลวิทยาลัยและบาสเกตบอลดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก[599] ในกีฬาฟุตบอล สหรัฐจัดฟุตบอลโลก 1994 ทีมฟุตบอลแห่งชาติประเภทชายเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 10 ครั้ง และทีมหญิงชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลในสหรัฐ (มีทีมอเมริกัน 19 ทีม และแคนาดา 3 ทีม) ตลาดกีฬาอาชีพในสหรัฐมีมูลค่าประมาณ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าตลาดทั้งทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริการวมกันประมาณ 50%[600]
มีการจัดกีฬาโอลิมปิกแปดครั้งในสหรัฐ ในปี 2014 สหรัฐได้เหรียญรางวัล 2,400 เหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อนมากกว่าทุกประเทศ และ 281 เหรียญในโอลิมปิกฤดูหนาว มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศนอร์เวย์[601] แม้ว่ากีฬาสำคัญของสหรัฐส่วนมากมาจากทว่ปยุโรป แต่กีฬาบาสเกตบอล วอลเลย์บอล สเกตบอร์ดและสโนว์บอร์ดเป็นประดิษฐกรรมของสหรัฐ ซึ่งบางชนิดยังได้รับความนิยมในประเทศอื่นด้วย ลาครอสและโต้คลื่นมาจากกิจกรรมของอเมริกันพื้นเมืองและฮาวายพื้นเมืองซึ่งมีมาก่อนการติดต่อของชาวตะวันตก[602] กีฬาเดี่ยวที่มีผู้ชมมากที่สุด ได้แก่ กอล์ฟและการแข่งรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาสคาร์[603][604] รักบี้ยูเนียนถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐ โดยมีผู้เล่นลงทะเบียนกว่า 115,000 คนและมีผู้เข้าร่วมอีก 1.2 ล้านคน[605]
ดนตรี[แก้]
รางวัลแกรมมีเป็นรางวัลที่มอบให้ศิลปินดนตรีชั้นนำลีลาจังหวะและเนื้อร้องของดนตรีแอฟริกันอเมริกันมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อดนตรีอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มันแตกต่างจากดนตรียุโรป ดนตรีส่วนที่มาจากสำนวนชาวบ้านอย่างบลูส์และที่ปัจจุบันเรียก ดนตรีโอลด์ไทม์ (old-time) นั้นได้รับมาและแปลงเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมกับผู้ชมทั่วโลก แจ๊สประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลอย่างหลุยส์ อาร์มสตรองและดุ๊ก เอลลิงตันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ดนตรีคันทรีพัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1920 และบลูส์ในคริสต์ทศวรรษ 1940[606]
เอลวิส เพรสลีย์และชัค เบอร์รีเป็นผู้บุกเบิกร็อกแอนด์โรลช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 ในคริสต์ทศวรรษ 1960 บ๊อบ ดีแลนถือกำเนิดขึ้นจากการรื้อฟื้นดนตรีชาวบ้านจนกลายเป็นผู้เขียนเพลงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดคนหนึ่งของสหรัฐ และเจมส์ บราวน์นำการพัฒนาดนตรีฟังก์ การสร้างสรรค์ของสหรัฐช่วงหลัง ๆ รวมถึงฮิปฮอปและดนตรีเฮาส์ ดาราป๊อปอย่างเพรสลีย์, ไมเคิล แจ็กสันและมาดอนนากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก[606] เช่นเดียวกับศิลปินดนตรีร่วมสมัยอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์, บริตนีย์ สเปียส์, เคที เพอร์รีและบียอนเซ่ ตลอดจนศิลปินฮิปฮอป เจย์-ซี, เอ็มมิเน็มและคานเย เวสต์[607] วงร็อกอย่างเมทัลลิกา ดิอีเกิลส์และแอโรสมิธมียอดขายทั่วโลกสูงสุดอันดับต้น ๆ[608][609][610]
สื่อ[แก้]ดูบทความหลักที่: สื่อในสหรัฐ
สำนักงานใหญ่ของ บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) ในเมืองนิวยอร์กผู้แพร่สัญญาณสี่รายหลักในสหรัฐ ได้แก่ บริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติ (NBC), ระบบแพร่สัญญาณโคลัมเบีย (CBS), บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) และฟ็อกซ์ เครือข่ายโทรทัศน์แพร่สัญญาณสี่รายหลักของสหรัฐเป็นเครือข่ายพาณิชย์ทั้งสิ้น ชาวอเมริกันฟังรายการวิทยุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นราชการพาณิชย์ โดยเฉลี่ยกว่าสองชั่วโมงครึ่งต่อวัน[611]
ในปี 1998 สถานีวิทยุพาณิชย์ของสหรัฐเติบโตเป็นสถานีเอเอ็ม 4,793 สถานีและเอฟเอ็ม 5,662 สถานี นอกจากนี้ ยังมีสถานีวิทยุสาธาณะ 1,460 สถานี สถานีเหล่านี้ส่วนมากมีมหาวิทยาลัยและองค์การรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและมีเงินทุนจากสาธารณะหรือเอกชน การรับสมาชิกและการรับประกันภัยของบริษัท เอ็นพีอาร์เป็นผู้แพร่สัญาณวิทยุสาธารณะจำนวนมาก (เดิมคือ วิทยุสาธารณะแห่งชาติ) เอ็นพีอาร์ถูกก่อตั้งเป็นบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 1970 ภายใต้รัฐบัญญัติการแพร่สัญญาณสาธารณะปี 1967 องค์การโทรทัศน์ พีบีเอส ก็ถูกก่อตั้งขึ้นจากกฎหมายฉบับเดียวกัน ในวันที่ 30 กันยายน 2014 มีสถานีวิทยุเต็มกำลังจดทะเบียน 15,433 สถานีในสหรัฐตามข้อมูลของคณะกรรมการการสื่อสารกลางสหรัฐ (FCC)[612]
หนังสือพิมพ์ขึ้นชื่อรวมถึง เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, เดอะนิวยอร์กไทมส์และยูเอสเอทูเดย์[613] แม้ว่าค่าใช้จ่ายของการจัดพิมพ์เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปยังต่ำอยู่ ทำให้หนังสือพิมพ์อาศัยรายรับจากการโฆษณามากขึ้นและบทความที่บริการสายข่ายหลักจัดหาให้ เช่น แอสโซซิเอเต็ดเพรสหรือรอยเตอส์ สำหรับความครอบคลุมระดับชาติและโลก หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในสหรัฐเป็นของเอกชน ไม่ว่าเป็นลูกโซ่ขนาดใหญ่อย่งแกนเน็ตหรือแม็กแคลทชี ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หลายสิบหรือหลายร้อยฉบับ ลูกโซ่ขนาดเล็กซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่ง หรือมีปัจเจกบุคคลหรือครอบครัวเป็นเจ้าของซึ่งพบได้น้อยลงทุกที นครใหญ่มักมี "รายสัปดาห์ทางเลือก" เพื่อส่งเสริมหนังสือพิมพ์รายวันกระแสหลัก ตัวอย่างเช่น เดอะวิลเลจวอยซ์ของนครนิวยอร์ก หรือแอลเอวีกลีของลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสองฉบับที่ขึ้นชื่อมากที่สุด นครหลักยังสนับสนุนวารสารธุรกิจท้องถิ่น หนังสือพิมพ์การค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท้องถิ่น และหนังสือพิมพ์สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมท้องถิ่น แถบตลกหนังสือพิมพ์อเมริกันฉบับแรก ๆ และหนังสือการ์ตูนอเมริกันเริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี 1938 ซูเปอร์แมน ซูเปอร์ฮีโรหนังสือการ์ตูนของดีซีคอมิกส์พัฒนาเป็นสัญรูปอเมริกัน[614] นอกเหนือจากเว็บพอร์ทัลและโปรแกรมค้นหา เว็บไซต์ยอดนิยมได้แก่ เฟซบุ๊ก ยูทูป วิกิพีเดีย ยาฮู! อีเบย์ แอมะซอนและทวิตเตอร์[615]
มีสิ่งพิมพ์เผยแพร่กว่า 800 ฉบับผลิตในภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐรองจากภาษาอังกฤษ[616][617]
เชิงอรรถ[แก้]
(เปลี่ยนทางจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา)
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา
สหรัฐอเมริกา
United States of America (อังกฤษ)
รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ,
รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามภรรยาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบิดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามมารดาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานกับเพศเดียวกันประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่ทำงานร้านอาหารประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานนวดประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าย้ายถิ่นฐานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าดูงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าฝึกงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าธุรกิจประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นWork Permit เพื่อไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Work Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว
จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่น Business Visa ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ,
ธงชาติคำขวัญ: In God We Trust
เพลงชาติ: The Star-Spangled Banner
MENU
0:00
มาร์ช: "The Stars and Stripes Forever"[1]
MENU
0:00
ที่ตั้งของสหรัฐแผ่นดินใหญ่รวมถึงรัฐอะแลสกาและรัฐฮาวาย
เมืองหลวงวอชิงตัน ดี.ซี.
38°53′N 77°01′W
เมืองใหญ่สุดนครนิวยอร์ก
40°43′N 74°00′W
ภาษาราชการไม่มีในระดับสหพันธรัฐ[fn 1]
ภาษาประจำชาติภาษาอังกฤษ[fn 2]
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญระบบประธานาธิบดี
• ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์
• รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์
นิติบัญญัติรัฐสภา
• สภาสูงวุฒิสภา
• สภาล่างสภาผู้แทนราษฎร
ประกาศเอกราชจากบริเตนใหญ่
• ประกาศ4 กรกฎาคม 1776
• สนธิสัญญาปารีส3 กันยายน 1783
• รัฐธรรมนูญ21 มิถุนายน 1788
• องค์การการเมืองเข้าล่าสุด24 มีนาคม 1976
พื้นที่
• รวม9,629,091 ตร.กม. (4)
3,718,711 ตร.ไมล์
• แหล่งน้ำ (%)4.87
ประชากร
• 2561 (ประเมิน)328,173,000[4] (3)
• 2553 (สำมะโน)309,349,689[5] (3)
• ความหนาแน่น34.2 คน/ตร.กม. (180)
90.6 คน/ตร.ไมล์
จีดีพี (อำนาจซื้อ)2560 (ประมาณ)
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
• ต่อหัว$ 59,495
จีดีพี (ราคาตลาด)2560 (ประมาณ)
• รวม$ 19.362 ล้านล้าน
• ต่อหัว$ 59,495
จีนี (2556)41.0[6]
HDI (2559) 0.920 (สูงมาก) (10th)
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ($) (USD)
เขตเวลา(UTC−4 to −12, +10, +11)
• ฤดูร้อน (DST) (UTC−4 to −10)
ขับรถด้านขวามือ
โดเมนบนสุด.us .gov .mil .edu
เว็บไซต์ทางการ
usa.gov
รหัสโทรศัพท์1
บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
สหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: United States of America) โดยทั่วไปเรียก สหรัฐ (United States) หรือ อเมริกา (America) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง ห้าดินแดนปกครองตนเองสำคัญ และเกาะเล็กต่าง ๆ[fn 3] โดย 48 รัฐและเขตปกครองกลางตั้งอยู่ ณ ทวีปอเมริกาเหนือระหว่างประเทศแคนาดาและเม็กซิโก รัฐอะแลสกาอยู่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ มีเขตแดนติดต่อกับประเทศแคนาดาทางทิศตะวันออกและข้ามช่องแคบเบริงจากประเทศรัสเซียทางทิศตะวันตก และรัฐฮาวายเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง ดินแดนของสหรัฐกระจายอยู่ตามมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียนครอบคลุมเขตเวลาเก้าเขต ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศและสัตว์ป่าของประเทศหลากหลายอย่างยิ่ง[8]
สหรัฐมีพื้นที่ขนาด 9.8 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 326 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก[fn 4]และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเป็นที่พำนักของประชากรเข้าเมืองใหญ่สุดในโลก[13] การมีลักษณะแบบเมืองทะยานเกิน 80% ในปี ค.ศ. 2010 และนำสู่มหภาค (megaregion) ที่เติบโตขึ้น เมืองหลวงของประเทศ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนครใหญ่สุดคือ นครนิวยอร์ก
อินเดียนดึกดำบรรพ์จากยูเรเชียย้ายถิ่นมาแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 15,000 ปีก่อน การยึดเป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจาก 13 อาณานิคมของบริเตนตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทหลายครั้งระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมหลังสงครามเจ็ดปีนำสู่การปฏิวัติอเมริกาซึ่งเริ่มในปี ค.ศ. 1775 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับคำประกาศอิสรภาพเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติในปี ค.ศ. 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย[14][15][16] มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศในปี ค.ศ. 1788 หลังบทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) ซึ่งมีการลงมติรับในปี 1781 รู้สึกว่าให้อำนาจแก่สหพันธรัฐไม่เพียงพอ ในปี 1791 มีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ซึ่งออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ
สหรัฐเริ่มขยายดินแดนอย่างแข็งขันทั่วทวีปอเมริกาเหนือตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขับไล่เผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซื้อดินแดนใหม่ และค่อย ๆ รับรัฐใหม่จนขยายทั่วทวีปในปี ค.ศ. 1848[17] ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 สงครามกลางเมืองอเมริกานำให้ยุติความเป็นทาสตามกฎหมายในประเทศ[18][19] เมื่อถึงสิ้นศตวรรษนั้น สหรัฐขยายเข้ามหาสมุทรแปซิฟิก[20] และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว[21] สงครามสเปน–อเมริกาและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันสถานภาพมหาอำนาจทางทหารโลกของสหรัฐ สหรัฐกำเนิดจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นอภิมหาอำนาจโลก ประเทศแรกที่พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังสงครามเย็นสิ้นสุดและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ส่งผลให้สหรัฐกลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก[22]
สหรัฐเป็นประเทศพัฒนาสูง โดยมีเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกตามจีดีพีราคาตลาด อยู่ในอันดับต้น ๆ ในการวัดสมรรถภาพสังคมเศรษฐกิจหลายรายการ ซึ่งรวมถึงค่าจ้างเฉลี่ย[23] การพัฒนามนุษย์ จีดีพีต่อหัวและผลิตภาพต่อคน[24] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าเป็นหลังอุตสาหกรรม (post-industrial) ซึ่งมีลักษณะที่บริการและเศรษฐกิจความรู้ครอบงำ แต่ภาคการผลิตยังมีขนาดใหญ่สุดอันดับสองของโลก[25] แม้มีประชากรรวมเพียง 4.3% ของโลก[26] แต่สหรัฐคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีโลก[27] และกว่าหนึ่งในสามของรายจ่ายทางทหารโลก[28] ทำให้เป็นชาติเศรษฐกิจและการทหารแนวหน้า สหรัฐเป็นประเทศการเมืองและวัฒนธรรมโดดเด่น และผู้นำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยี[29]
เนื้อหา
- 1นิรุกติศาสตร์
- 2ประวัติศาสตร์
- 3ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม
- 4ประชากรศาสตร์
- 5การเมืองการปกครอง
- 6อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย
- 7เศรษฐกิจ
- 8โครงสร้างพื้นฐาน
- 9การศึกษา
- 10วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- 11สุขภาพ
- 12วัฒนธรรม
- 13เชิงอรรถ
- 14อ้างอิง
- 15บรรณานุกรม
- 16แหล่งข้อมูลอื่น
เดิมอดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319[33] ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งตั้งขึ้นนี้ เรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วย
สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"[34] ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซมอินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ ตำรวจโลก
ภาษาศาสตร์[แก้]ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า Americanและ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา[35]
เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) — รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) — หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"[36]
ประวัติศาสตร์[แก้]ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์สหรัฐชนพื้นเมืองและประวัติศาสตร์ยุคก่อนโคลัมบัส[แก้]
การสร้างใหม่ของศิลปินซึ่งแหล่งคินเคดจากวัฒนธรรมมิสซิสซิปปีก่อนประวัติศาสตร์ ตามที่อาจปรากฏ[37]ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนือคนแรก ๆ ย้ายถิ่นจากไซบีเรียโดยทางสะพานบกเบริงและมาถึงอย่างน้อย 15,000 ปีมาแล้ว แม้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่เสนอว่าอาจมาถึงก่อนหน้านั้นอีก[38] หลังข้ามสะพานบกแล้ว ชาวอเมริกันกลุ่มแรกย้ายลงใต้ โดยอาจตามชายฝั่งแปซิฟิก[39][40] หรือผ่านหิ้งปลอดน้ำแข็งในแผ่นดินระหว่างหิ้งน้ำแข็งคอร์ดิลเลอร์แรน (Cordilleran) และลอเรนไทด์ (Laurentide)[41]วัฒนธรรมโคลวิสปรากฏประมาณ 11,000 ปีก่อน ค.ศ. และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของวัฒนธรรมพื้นเมืองสมัยหลังของทวีปอเมริกาส่วนใหญ่[42] แม้คิดกันตลอดปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่าวัฒนธรรมโคลวิสเป็นตัวแทนของการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งแรกในทวีปอเมริกา[43] แต่ในช่วงปีหลัง ๆ ได้เปลี่ยนมาตระหนักถึงวัฒนธรรมก่อนโคลวิส[44]
ต่อมา วัฒนธรรมพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และบางวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีสมัยก่อนโคลัมบัสในทางตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการกสิกรรมก้าวหน้า สถาปัตยกรรมใหญ่ และสังคมระดับรัฐ[45] ตั้งแต่ประมาณปี 800 ถึง 1600[46] วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีเฟื่องฟู และนครใหญ่สุด คะโฮเคีย (Cahokia) ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในสหรัฐปัจจุบัน[47] ในภูมิภาคเกรตเลกส์ทางใต้ มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐอิระควอยในบางช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12[48] ถึง 15[49]และอยู่มาจนสิ้นสงครามปฏิวัติ[50]
การตั้งถิ่นฐานหมู่เกาะฮาวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นยังเป็นหัวข้อการถกเถียงที่ยังดำเนินอยู่[51] หลักฐานโบราณคดีดูเหมือนบ่งชี้ว่ามีนิคมตั้งแต่ปี 124[52] ระหว่างการเดินเรือครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย กัปตันเจมส์ คุกเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เริ่มการติดต่อกับฮาวายอยางเป็นทางการ[53] หลังการขึ้นฝั่งครั้งแรกในเดือนมกราคม 1778 ที่ท่าไวเมีย เกาะคาไว คุกตั้งชื่อกลุ่มเกาะนี้วา "หมู่เกาะแซนด์วิช" ตามเอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช รักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือของราชนาวีบริติช[54]
นิคมยุโรป[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในทวีปอเมริกา และ สิบสามอาณานิคม
นักสำรวจชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิหลังสเปนส่งโคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่โลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่างควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี ค.ศ. 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่างเซนต์ออกัสตีน[55] และแซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วยอาณานิคมเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1607 ที่เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี ค.ศ. 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี ค.ศ. 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา[56][57]
ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก[58] สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก[59]
การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น[60] การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว[61][62] สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่งแยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส[63][64] แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้[65]
ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี ค.ศ. 1732 จึงมีการสถาปนาสิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา[66] ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุนสาธารณรัฐนิยม[67] ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง[68] ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา[69]
ระหว่างสงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี ค.ศ. 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล[70] ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ[71]
ในปี ค.ศ. 1774 เรือกองทัพเรือสเปน ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือกแอบะโลนีจากแคลิฟอร์เนีย[72] ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่โปรตุเกส เมื่อชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นในอะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ[73][fn 5]
หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนในอัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ[75] ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา[76]
ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง[แก้]ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น[77] ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่างโรคฝีดาษและโรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ[78][79][80][81][82][83]
ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น[84] ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป[85][86]
การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่งเมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา[87]
เอกราชและการขยายอาณาเขต[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การปฏิวัติอเมริกา, สงครามปฏิวัติอเมริกา และ เทพลิขิต
คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูลสงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม[88]
หลังการผ่านข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง สภาทวีปที่สองลงมติรับคำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ[89] ในปี ค.ศ. 1777 บทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) สถาปนารัฐบาลอ่อนที่ดำเนินการจนปี ค.ศ. 1789[89]
บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐหลังปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี ค.ศ. 1781[90] ในสนธิสัญญาสันติภาพปี ค.ศ. 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำการประชุมฟิลาเดลเฟียปี ค.ศ. 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี ค.ศ. 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี ค.ศ. 1789 จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี ค.ศ. 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ[91]
แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี ค.ศ. 1808 แต่หลังปี ค.ศ. 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุในดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย[92][93][94] การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800–1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส[95] ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และแบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส[96]
ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลาความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ[97] การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี ค.ศ. 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว[98] สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ[99] ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 1819[100] การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไอน้ำ เมื่อเรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ[101]
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854 เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสในปี ค.ศ. 1845 ระหว่างสมัยเทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน[102] สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน[103] ชัยในสงครามเม็กซิโก–อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน[104]
การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี ค.ศ. 1848–1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม[105] หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น[106] กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม[107] ในปี ค.ศ. 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 1900[108]
สงครามกลางเมืองและสมัยบูรณะ[แก้]ดูบทความหลักที่: สงครามกลางเมืองอเมริกา และ สมัยบูรณะ
ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียระหว่างสงครามกลางเมือง โดย Thure de Thulstrupข้อแตกต่างของความเห็นและระเบียบสังคมระหว่างรัฐภาคเหนือและภาคใต้ในสังคมสหรัฐช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับทาสผิวดำ จนสุดท้ายนำสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา[109] เดิมทีรัฐเข้าสู่สหภาพสลับกันระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเพื่อรักษาสมดุลภาคในวุฒิสภา ขณะที่รัฐเสรีมีประชากรมากกว่ารัฐทาสและมีผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ด้วยมีดินแดนตะวันตกและรัฐเสรีเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีสูงขึ้นด้วยการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบสหพันธรัฐ การโอนการครอบครองดินแดน ควรขยายหรือจำกัดความเป็นทาสหรือไม่และอย่างไร[110]
อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. 1860 ประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านความเป็นทาส สุดท้ายการประชุมในสิบสามรัฐทาสประกาศแยกตัวออกและตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา ขณะที่รัฐบาลกลางยืนยันว่าการแยกตัวออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย[110] สงครามที่เกิดขึ้นให้หลังนั้นทีแรกเป็นสงครามเพื่อรักษาสหภาพ และหลังจากปี ค.ศ. 1863 เมื่อกำลังพลสูญเสียเพิ่มขึ้นและลินคอล์นออกประกาศปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Emancipation Proclamation) เป้าหมายสงครามที่สองกลายเป็นการเลิกทาส สงครามนี้เป็นความขัดแย้งทางทหารที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้มีทหารเสียชีวิตประมาณ 618,000 คนและพลเรือนอีกเป็นอันมาก[111]
หลังฝ่ายสหภาพมีชัยในปี 1865 มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐสามครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 13 ห้ามความเป็นทาส การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 มอบความเป็นพลเมืองแก่แอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาสเกือบสี่ล้านคน[112] และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 รับประกันว่าพวกเขามีสิทธิออกเสียงลงคะแนน สงครามและผลลัพธ์นำสู่การเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางอย่างมากโดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการและสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้ขณะที่รับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท สงครามและผลนำสู่การเพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางอย่างสำคัญ[113] โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการใหม่และสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้พร้อมกับรับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท
นักอนุรักษนิยมผิวขาวภาคใต้ซึ่งเรียกตนว่า "ผู้ไถ่" (Redeemer) เข้าควบคุมหลังสิ้นสุดการบูรณะ เมื่อถึงช่วงปี 1890–1910 กฎหมายจิม โครว์พรากสิทธิออกเสียงลงคะแนนคนผิวดำส่วนใหญ่และคนขาวยากจนบางส่วน คนดำเผชิญการแบ่งแยกทางเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้[114] ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติบางครั้งเผชิญการลงประชาทัณฑ์[115]
การปรับให้เป็นอุตสาหกรรม[แก้]
เกาะเอลลิสในนครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป[116]ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม[117] โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและโทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง[118]
การสิ้นสุดของสงครามอินเดียนยิ่งขยายพื้นที่ภายใต้การเพาะปลูกโดยใช้เครื่องจักร เพิ่มส่วนเกินสำหรับตลาดระหว่างประเทศ[119] การขยายดินแดนแผ่นดินใหญ่สำเร็จด้วยการซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซียในปี 1867[120] ในปี 1893 ส่วนนิยมอเมริกาในฮาวายล้มราชาธิปไตยและตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ซึ่งสหรัฐผนวกในปี 1898 สเปนยกปวยร์โตรีโก กวมและฟิลิปปินส์ให้สหรัฐในปีเดียวกันหลังสงครามสเปน–อเมริกา[121]
การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วยให้นักอุตสาหกรรมโดดเด่นจำนวนมากเฟื่องฟูขึ้น นักธุรกิจใหญ่อย่างคอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์, จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์และแอนดรูว์ คาร์เนกีนำความก้าวหน้าของชาติในอุตสาหกรรมรางรถไฟ ปิโตรเลียมและเหล็กกล้า การธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเจ. พี. มอร์แกนมีบทบาทเด่น ทอมัส เอดิสันและนิโคลา เทสลาทำให้ไฟฟ้ากระจายแพร่หลายสู่อุตสาหกรรม บ้านเรือนและสำหรับการให้แสงสว่างตามถนน เฮนรี ฟอร์ดปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสหรัฐได้สถานภาพมหาอำนาจ[122] การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้กอปรกับความไม่สงบทางสังคมและความเจริญของขบวนการประชานิยม สังคมนิยมและอนาธิปไตย[123] สุดท้ายสมัยนี้สิ้นสุดลงด้วยการมาของสมัยก้าวหน้า (Progressive Era) ซึ่งมีการปฏิรูปสำคัญในสังคมหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี การห้ามแอลกอฮอล์ การกำกับสินค้าบริโภค มาตรการป้องกันการผูกขาดที่มากขึ้นเพื่อประกันการแข่งขันและความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงาน[124][125][126]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง[แก้]
ฝูงชนชุมนุมกันที่วอลล์สตรีทหลังเหตุหลักทรัพย์ตกปี 1929สหรัฐวางตนเป็นกลางตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุในปี ค.ศ. 1914 จนถึงปี ค.ศ. 1917 เมื่อเข้าร่วมสงครามเป็น "ชาติสมทบ" ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยช่วยเปลี่ยนทิศทางของสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในปี 1919 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันรับบทบาทการทูตนำ ณ การประชุมสันติภาพปารีสและสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สหรัฐเข้าร่วมสันนิบาตชาติ ทว่า วุฒิสภาปฏิเสธไม่อนุมัติและไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งสถาปนาสันนิบาตชาติ[127]
ในปี ค.ศ. 1920 ขบวนการสิทธิสตรีชนะการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี[128] คริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 มีความเจริญเติบโตของสื่อสารมวลชนประเภทวิทยุและมีการประดิษฐ์โทรทัศน์ขึ้นในยุคแรก[129] ความเฟื่องฟูของทเวนตีร้องคำราม (Roaring Twenties) สิ้นสุดด้วยเหตุการณ์วอลล์สตรีทตกปี 1929 และการเริ่มต้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1932 เขาสนองด้วยข้อตกลงใหม่ (New Deal) ซึ่งรวมการสถาปนาระบบหลักประกันสังคม[130] การย้ายถิ่นใหญ่ของแอฟริกันอเมริกันหลายล้านคนจากภาคใต้ของสหรัฐเริ่มก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและกินเวลาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960[131] ขณะที่ชามฝุ่น (Dust Bowl) กลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้ชุมชนกสิกรรมจำนวนมากยากจนและทำให้เกิดการย้ายถิ่นทางตะวันตกระลอกใหม่[132]
ทีแรกสหรัฐวางตนเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างที่เยอรมนีพิชิตทวีปยุโรปส่วนใหญ่ สหรัฐเริ่มจัดหาปัจจัยแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 ผ่านโครงการให้ยืม-เช่า วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 จักรวรรดิญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีอย่างจู่โจมต่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทำให้สหรัฐเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรสู้รบกับฝ่ายอักษะ[133] ระหว่างสงคราม สหรัฐถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน "สี่ตำรวจ"[134]แห่งฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ประชุมกันวางแผนโลกหลังสงคราม ร่วมกับบริเตน สหภาพโซเวียตและจีน[135] แม้สหรัฐเสียทหารกว่า 400,000 นาย[136] แต่แทบไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามและยิ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางทหารมากยิ่งขึ้นอีก[137]
สหรัฐมีบทบาทนำในการประชุมเบรตตันวูดส์และยัลตากับสหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นซึ่งลงนามความตกลงว่าด้วยสถาบันการเงินระหว่างประเทศใหม่และการจัดระเบียบใหม่หลังสงครามของทวีปยุโรป เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในทวีปยุโรปแล้ว การประชุมระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกในปี 1945 ได้ออกกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งมีผลใช้บังคับหลังสงคราม[138] สหรัฐพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกและใช้มันกับญี่ปุ่นในนครฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 2 กันยายน ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง[139][140]
สงครามเย็นและยุคสิทธิมนุษยชน[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1945–1964), ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1964–1980) และ ประวัติศาสตร์สหรัฐ (ค.ศ. 1980–1991)
ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และเลขาธิการมีฮาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ในการประชุมที่เจนีวาในปี 1985หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและสหภาพโซเวียตประชันชิงอำนาจระหว่างสมัยสงครามเย็น ขับเคลื่อนด้วยการแบ่งแยกอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ทั้งสองครอบงำกิจการทหารของทวีปยุโรป โดยมีสหรัฐและพันธมิตรนาโต้ฝ่ายหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตรสนธิสัญญาวอร์ซออีกฝ่ายหนึ่ง สหรัฐพัฒนานโยบายการจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาต่อการขยายอิทธิพลตอมมิวนิสต์ ขณะที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่อสู้ในสงครามตัวแทนและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ทรงพลัง และสองประเทศเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง
สหรัฐมักคัดค้านขบวนการโลกที่สามซึ่งมองว่าโซเวียตสนับสนุน ทหารอเมริกันต่อสู้กำลังคอมมิวนิสต์จีนและเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลีปี ค.ศ. 1950–1953 การปล่อยดาวเทียมดวงแรกของสหภาพโซเวียตปี ค.ศ. 1957 และการปล่อยเที่ยวบินอวกาศที่มีมนุษย์โดยสารครั้งแรกในปี ค.ศ. 1961 เริ่ม "การแข่งขันอวกาศ" ซึ่งสหรัฐเป็นชาติแรกที่นำมนุษย์ลงจอดดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1969[141] สงครามตัวแทนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สุดท้ายกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนพัวพันเต็มตัวของอเมริกา เช่น สงครามเวียดนาม
ในประเทศ สหรัฐมีการขยายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของประชากรและชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐแปรสภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเวลาหลายทศวรรษถัดมา คนหลายล้านคนผละไร่นาและนครชั้นใน (inner city) สู่การพัฒนาเคหะชานเมืองขนาดใหญ่[142][143] ในปี ค.ศ. 1959 ฮาวายกลายเป็นรัฐที่ 50 และรัฐล่าสุดของสหรัฐที่เพิ่มเข้าประเทศ[144]ขบวนการสิทธิพลเมืองที่เติบโตขึ้นใช้สันติวิธีเผชิญกับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ โดยมีมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์เป็นผู้นำคนสำคัญและหัวโขน คำวินิจฉัยของศาลและกฎหมายประกอบกันลงเอยด้วยรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองปี ค.ศ. 1968 ซึ่งมุ่งยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศ[145][146][147] ขณะเดียวกัน ขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการค้านสงครามเวียดนาม ชาตินิยมผิวดำและการปฏิวัติทางเพศ
การเปิดฉาก "สงครามต่อความยากจน" ขยายการให้สิทธิ์และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมการสร้างเมดิแคร์และเมดิเคด สองโครงการซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพต่อผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ตามลำดับ และโครงการสแตมป์อาหาร (Food Stamp Program) และช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพึ่งพิง (Aid to Families with Dependent Children)[148]
คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการชะงักทางเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1980 เขาตอบโต้ด้วยการปฏิรูปเน้นตลาดเสรี หลังการล่มสลายของการผ่อนคลายความตึงเครียด เขาเลิก "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และริเริ่มยุทธศาสตร์ "ม้วนกลับ" ที่ก้าวร้าวขึ้นต่อสหภาพโซเวียต[149][150][151][152][153] หลังมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานสตรีในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ในปี ค.ศ. 1985 สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีงานทำ[154]
ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการ "ผ่อนคลาย" ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มลายในปี ค.ศ. 1991 ยุติสงครามเย็นในที่สุด เหตุนี้นำมาซึ่งภาวะขั้วเดียว[155] โดยสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจครอบงำของโลกโดยไร้ผู้ต่อกร มโนทัศน์สันติภาพอเมริกา (Pax Americana) ซึ่งปรากฏในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเรียกระเบียบโลกใหม่ยุคหลังสงครามเย็นที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย[แก้]
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในโลวเออร์แมนฮัตตันระหว่างวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001
วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ถูกสร้างแทนที่หลังสงครามเย็น ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจุดชนวนวิกฤตการณ์ในปี ค.ศ. 1990 เมื่อประเทศอิรักภายใต้ซัดดัม ฮุสเซนบุกครองและพยายามผนวกประเทศคูเวต กับพันธมิตรของสหรัฐ ด้วยเกรงว่าความไร้เสถียรภาพจากลามไปภูมิภาคอื่น ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชจึงเปิดฉากปฏิบัติการโล่ทะเลทราย การส่งกำลังป้องกันในประเทศซาอุดีอาระเบีย และปฏิบัติการพายุทะเลทรายในขั้นที่เรียก สงครามอ่าว โดยมีกำลังผสมจาก 34 ประเทศนำโดยสหรัฐต่อประเทศอิรัก ยุติด้วยการขับกำลังอิรักออกจากประเทศคูเวตได้สำเร็จ ฟื้นฟูราชาธิปไตยคูเวต[156]
อินเทอร์เน็ตซึ่งกำเนิดในเครือข่ายกลาโหมสหรัฐลามไปเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศ และสู่สาธารณะในปี 1990 มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโลก[157]
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นโยบายการเงินแบบเสถียรภาพภายใต้แอลัน กรีนสแพนและการลดรายจ่ายสวัสดิการสังคม คริสต์ทศวรรษ 1990 มีการขยายทางเศรษฐกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐสมัยใหม่ซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2001[158] เริ่มตั้งแต่ปี 1994 สหรัฐเข้าสู่ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เชื่อมประชากร 450 ล้านคนซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของความตกลงคือเพื่อกำจัดอุปสรรคการค้าและการลงทุนในสหรัฐ ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 การค้าในหมู่ไตรภาคีเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ NAFTA มีผลใช้บังคับ[159]
วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์โจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กและอาคารเพนตากอนใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน[160] สหรัฐตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งรวมสงครามในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักปี ค.ศ. 2003–2011[161][162] ในปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลบุชสั่งเพิ่มกำลังทหารครั้งใหญ่ในสงครามอิรัก[163] ซึ่งลดความรุนแรงและนำสู่เสถียรภาพเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอย่างเป็นผล[164][165]
นโยบายของรัฐบาลซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมการเคหะที่มีราคาไม่แพง[166] ความล้มเหลวกว้างขวางของบรรษัทภิบาลและธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล (regulatory governance)[167] และอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของระบบธนาคารกลาง[168] นำสู่ฟองสบู่การเคหะกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 จนลงเอยด้วยวิกฤตการณ์การเงินปี 2008เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนับแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[169] บารัก โอบามา ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันและหลายเชื้อชาติคนแรก ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2008 ท่ามกลางวิกฤต[170] และต่อมาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบัญญัติการปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคด็อดด์-แฟรงก์เพื่อพยายามบรรเทาผลร้าย มาตรการกระตุ้นดังกล่าวอำนวยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน[171] และการว่างงานลดลงโดยสัมพัทธ์[172] ด็อดด์-แฟรงก์พัฒนาเสถียรภาพทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค[173] แต่มีผลลบต่อการลงทุนธุรกิจและธนาคารขนาดเล็ก[174]
ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลโอบามาผ่านรัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งที่ครอบคลุมที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในเกือบห้าทศวรรษ ซึ่งรวมการมอบอำนาจ เงินอุดหนุนและการแลกเปลี่ยนประกัน กฎหมายนี้ทำให้ลดจำนวนและร้อยละของผู้ไม่มีประกันสุขภาพลงอย่างสำคัญ โดยมี 24 ล้านคนครอบคลุมระหว่างปี ค.ศ. 2016[175]กระนั้น กฎหมายนี้เป็นที่โต้เถียงเนื่องจากผลกระทบต่อราคาสาธารณสุข เบี้ยประกันภัยและสมรรถภาพทางเศรษฐกิจ[176] แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายน 2009 แต่ผู้ออกเสียงลงคะแนนยังคับข้องใจกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล่าช้า พรรครีพับลิกันซึ่งคัดค้านนโยบายของโอบามา ได้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในปี 2010 และควบคุมวุฒิสภาในปี 2014[177]
มีการถอนกำลังอเมริกันในประเทศอิรักในปี ค.ศ. 2009 และ ปี ค.ศ. 2010 และมีการประกาศให้สงครามในภูมิภาคยุติลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011[178] การถอนกำลังดังกล่าวทำให้การก่อการกำเริบนิกายนิยมบานปลาย[179] นำสู่ความเจริญของรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของอัลกออิดะฮ์ในภูมิภาค[180] ในปี 2014 โอบามาประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทูตสมบูรณ์กับประเทศคิวบาเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1961[181] ปีต่อมา สหรัฐซึ่งเป็นสมาชิกประเทศพี5+1 ลงนามแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม ซึ่งเป็นความตกลงที่มุ่งชะลอการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน[182]
ดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้มั่งมีที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐและประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการทหารก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016
ภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ภูมิศาสตร์สหรัฐ, ภูมิอากาศสหรัฐ และ สิ่งแวดล้อมสหรัฐ
ภาพถ่ายจากดาวเทียมแสดงถึงลักษณะภูมิประเทศของสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่
ภาพถ่ายบางส่วนของเทือกเขาร็อกกีสหรัฐแผ่นดินใหญ่มีพื้นที่ 7,663,940.6 ตารางกิโลเมตร รัฐอะแลสกา ซึ่งมีประเทศแคนาดาคั่นสหรัฐแผ่นดินใหญ่ เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด มีขนาด 1,717,856.2 ตารางกิโลเมตร รัฐฮาวายซึ่งเป็นกลุ่มเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่ 28,311 ตารางกิโลเมตร[183] ดินแดนที่มีประชากรอาศัยของสหรัฐ ได้แก่ ปวยร์โตรีโก อเมริกันซามัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาและหมู่เกาะเวอร์จินรวมมีพื้นที่ 23,789 ตารางกิโลเมตร[184]
สหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามหรือสี่ของโลกเรียงตามพื้นที่ทั้งหมด (แผ่นดินและผืนน้ำ) รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา และมีอันดับสูงหรือต่ำกว่าจีน การจัดอันดับต่างกันขึ้นอยู่กับว่านับรวมดินแดนที่ประเทศจีนและอินเดียพิพาทหรือไม่ และวัดขนาดทั้งหมดของสหรัฐอย่างไร คือ การคำนวณมีตั้งแต่ 9,522,055.0 กม.2[185], 9,629,091.5 กม.2[186] ไปจนถึง 9,833,516.6 กม.2[187] หากวัดเฉพาะแผ่นดิน สหรัฐจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามรองจากประเทศรัสเซียและจีน สูงกว่าแคนาดา[188]
ที่ราบชายฝั่งทะเลแอตแลนติกให้ก่อให้เกิดป่าผลัดใบลึกเข้าไปในแผ่นดินและรอยคลื่นพีดมอนต์ (Piedmont)[189] เทือกเขาแอปพาเลเชียนแบ่งชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเกรตเลกส์และทุ่งหญ้าภาคกลางตะวันตก (Midwest)[190] แม่น้ำมิสซิสซิปปี–มิสซูรี ระบบแม่น้ำยาวที่สุดอันดับสี่ของโลก ไหลส่วนใหญ่ในทิศเหนือ–ใต้ผ่านใจกลางประเทศ ที่ราบใหญ่ (Great Plains) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าราบอุดมสมบูรณ์แผ่ขยายไปทางทิศตะวันตก โดยมีพื้นที่สูงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขวาง[190]
เทือกเขาร็อกกี ณ ขอบทิศตะวันตกของที่ราบใหญ่ แผ่ขยายข้ามประเทศจากเหนือจรดใต้ มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร ในรัฐโคโลราโด[191] ไปอีกทางทิศตะวันตกเป็นแอ่งใหญ่ (Great Basin) หิน และทะเลทราย เช่น ทะเลทรายชิฮัวฮวนและโมฮาวี[192] เทือกเขาเซียร์ราเนวาดาและแคสเคด (Cascade) ทอดใกล้กับชายฝั่งแปซิฟิก เทือกเขาทั้งสองนี้มีระดับความสูงกว่า 4,300 เมตร จุดต่ำสุดและสูงสุดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย[193] และห่างกัน 135 กิโลเมตร[194] ที่ระดับความสูง 6,194 เมตร ยอดเขาเดนาลี (ยอดเขาแม็กคินเลย์) ในรัฐอะแลสกาเป็นยอดเขาสูงสุดในประเทศและในทวีปอเมริกาเหนือ[195] ภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่มีทั่วไปตลอดกลุ่มเกาะอะเล็กซานเดอร์และหมู่เกาะอะลูเชียนในรัฐอะแลสกา และรัฐฮาวายประกอบด้วยเกาะภูเขาไฟ ภูเขาไฟใหญ่ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในเทือกเขาร็อกกี เป็นลักษณะภูเขาไฟใหญ่สุดของทวีปอเมริกาเหนือ[196]
เนื่องจากสหรัฐมีขนาดใหญ่และความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ จึงมีลักษณะอากาศหลายชนิด ทางตะวันออกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 ลักษณะอากาศมีตั้งแต่ภาคพื้นทวีปชื้นทางเหนือถึงกึ่งเขตร้อนชื้นทางใต้[197] ที่ราบใหญ่ทางตะวันตกของเส้นเมอริเดียนที่ 100 เป็นกึ่งแห้งแล้ง เขาทางตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะอากาศแบบแอลป์ ลักษณะอากาศเป็นแบบแห้งแล้งในแอ่งใหญ่ ทะเลทรายในภาคตะวันตกเฉียงใต้ เมดิเตอร์เรเนียนในรัฐแคลิฟอร์เนียชายฝั่ง และภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทรในชายฝั่งรัฐออริกอนและรัฐวอชิงตัน และทางใต้ของรัฐอะแลสกา รัฐอะแลสกาส่วนใหญ่เป็นแบบกึ่งอาร์กติกหรือขั้วโลก รัฐฮาวายและปลายใต้สุดของรัฐฟลอริดามีลักษณะอากาศแบบเขตร้อน เช่นเดียวกับดินแดนที่มีประชากรอยู่อาศัยในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิก[198] อากาศสุดโต่งเป็นเรื่องไม่แปลก ในรัฐที่ติดอ่าวเม็กซิโกที่มีความเสี่ยงเกิดพายุเฮอร์ริเคน และทอร์เนโดส่วนใหญ่ของโลกเกิดในประเทศนี้ โดยเกิดในบริเวณตรอกทอร์เนโดแถบตะวันตกกลางและภาคใต้เป็นหลัก[199]
สัตว์ป่า[แก้]
อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติของสหรัฐตั้งแต่ปี 1782นิเวศวิทยาของสหรัฐนั้นหลากหลายมาก (megadiverse) โดยมีพืชมีท่อลำเลียงประมาณ 17,000 ชนิดในสหรัฐแผ่นดินใหญ่และรัฐอะแลสกา และพบพืชดอกกว่า 1,800 ชนิดในรัฐฮาวาย ซึ่งมีจำนวนน้อยที่พบในแผ่นดินใหญ่[200] สหรัฐเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 428 ชนิด นก 784 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 311 ชนิดและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 295 ชนิด[201] มีการพบแมลงประมาณ 91,000 ชนิด[202] อินทรีหัวขาวเป็นนกประจำชาติและสัตว์ประจำชาติของสหรัฐ และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเสมอมา[203]
มีอุทยานแห่งชาติ 58 แห่งและอุทยาน ป่าและพื้นที่ที่ดินในสภาพธรรมชาติอื่นที่รัฐบาลกลางจัดการอีกนับหลายร้อยแห่ง[204] เบ็ดเสร็จแล้วรัฐบาลเป็นเจ้าของพื้นที่ประมาณ 28% ของประเทศ[205] ส่วนใหญ่พื้นที่เหล่านี้มีการคุ้มครอง แม้บางส่วนให้เช่าสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและแก๊ส การทำเหมือง การทำไม้หรือการเลี้ยงปศุสตว์ ประมาณ 0.86% ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร[206][207]
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 การโต้เถียงเรื่องสิ่งแวดล้อมรวมถึงการอภิปรายเรื่องน้ำมันและพลังงานนิวเคลียร์การจัดการกับมลพิษทางอากาศและน้ำ ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจในการพิทักษ์สัตว์ป่า การทำไม้ และการทำลายป่า[208][209] และการตอบสนองระหว่างประเทศเกียวกับภาวะโลกร้อน[210][211] มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่โดดเด่นที่สุดคือ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency) ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1970[212] ความคิดเรื่องที่ดินในสภาพธรรมชาติได้ก่อรูปการจัดการที่ดินสาธารณะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 ด้วยบทบัญญัติที่ดินในสภาพธรรมชาติ (Wilderness Act)[213] รัฐบัญญัติสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ปี ค.ศ. 1973 มีเจตนาคุ้มครองชนิดที่อยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้การสูญพันธุ์และถิ่นที่อยู่ของพวกมัน โดยมีราชการปลาและสัตว์ป่าสหรัฐเป็นผู้ตรวจตรา[214]
ประชากรศาสตร์[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ประชากรศาสตร์สหรัฐ, ชาวอเมริกัน และ รายชื่อนครในสหรัฐเรียงตามประชากรประชากร[แก้]เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์ (ประมาณของ ACS ปี 2015)[215]
แบ่งตามเชื้อชาติ:[215]
ผิวขาว73.1%
ผิวดำ12.7%
เอเชีย5.4%
อเมริกันอินเดียนและชนพื้นเมืองอะแลสกา0.8%
ฮาวายพื้นเมืองและชาวเกาะแปซิฟิก0.2%
พหุเชื้อชาติ3.1%
เชื้อชาติอื่น4.8%
แบ่งตามชาติพันธุ์:[215]
ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)17.6%
มิใช่ฮิสแปนิก/ละติโน (ทุกเชื้อชาติ)82.4%
กลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดแบ่งตามเทศมณฑล (ปี 2000) ซึ่งมีชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันมากที่สุดสำนักงานสำมะโนสหรัฐประมาณจำนวนประชากรของประเทศเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2016 ไว้ที่ 323,425,550 คน โดยเพิ่มขึ้น 1 คน (เพิ่มสุทธิ) ทุก 13 วินาที หรือประมาณ 6,646 คนต่อวัน[4] ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20 จากประมาณ 76 ล้านคนในปี ค.ศ. 1900[216] สหรัฐเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสามของโลกรองจากประเทศจีนและอินเดีย สหรัฐเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลักประเทศเดียวที่มีการทำนายการเพิ่มของประชากรขนาดใหญ่[217] ในคริสต์ทศวรรษ 1800 หญิงเฉลี่ยมีบุตร 7.04 คน เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1900 จำนวนดังกล่าวลดลงเหลือ 3.56 คน[218] นับแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา อัตราการเกิดลดต่ำกว่าอัตราทดแทน 2.1 โดยอยู่ที่บุตร 1.86 คนต่อหญิง 1 คนในปี ค.ศ. 2014 การเข้าเมืองที่เกิดต่างด้าวทำให้ประชากรสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยประชากรที่เกิดต่างด้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากประมาณ 20 ล้านคนในปี 1990 เป็นกว่า 40 ล้านคนในปี ค.ศ. 2010 โดยเป็นการเพิ่มของประชากรหนึ่งในสาม[219] ประชากรที่เกิดต่างด้าวถึง 45 ล้านคนในปี 2015[220]'
สหรัฐมีประชากรหลากหลายมาก โดยกลุ่มบรรพบุรุษ 37 กลุ่มมีสมาชิกกว่า 1 ล้านคน[221] ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่สุด (กว่า 50 ล้านคน) รองลงมาได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์แลนด์ (ประมาณ 37 ล้านคน), ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก (ประมาณ 31 ล้านคน) และชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ (ประมาณ 28 ล้านคน)[222][223] ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มเชื้อชาติใหญ่สุด ชาวอเมริกันผิวดำเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดของประเทศ (หมายเหตุว่าในสำมะโนสหรัฐ อเมริกันฮิสแปนิกและละติโนนับเป็นกลุ่ม "ชาติพันธุ์" มิใช่กลุ่ม "เชื้อชาติ") และเป็นกลุ่มบรรพบุรุษใหญ่สุดอันดับสาม[221]ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยใหญ่สุดอันดับสอง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียใหญ่สุดสามอันดับ ได้แก่ ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ และชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย[221]
สหรัฐมีอัตราเกิด 13 คนต่อ 1,000 คน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 5 คน[224] อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวก 0.7% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ[225] ในปีงบประมาณ 2012 ผู้เข้าเมืองกว่าหนึ่งล้านคน (ส่วนมากเข้าประเทศผ่านการรวมครอบครัว) ได้รับถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย[226] ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศต้นทางของผู้อยู่อาศัยใหม่อันดับต้น ๆ ตั้งแต่รัฐบัญญัติการเข้าเมืองปี 1965 ประเทศจีน อินเดียและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีผู้เข้าเมืองสูงสุดสี่อันดับทุกปีมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990[227][228] ในปี 2012 ผู้อยู่อาศัยประมาณ 11.4 ล้านคนเป็นผู้เข้าเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย[229] ในปี 2015 47% ของผู้เข้าเมืองทั้งหมดเป็นฮิสแปนิก 26% เป็นชาวเอเชีย 18% เป็นคนขาว และ 8% เป็นคนดำ ร้อยละของผู้เข้าเมืองซึ่งเป็นชาวเอเชียเพิ่มขึ้นส่วนร้อยละของผู้เป็นฮิสแปนิกลดลง[220]
ชนกลุ่มน้อย (ซึ่งกรมสำมะโนนิยามว่าหมายถึงทุกคนยกเว้นคนผิวขาวที่มิใช่ฮิสปแปนิกและมิใช่หลายเชื้อชาติ) ประกอบเป็น 37.2% ของประชากรในปี 2012[215] และกว่า 50% ของเด็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปี[230][231] และคาดว่าจะกลายเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อถึงปี 2044[230]
ตามการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสถาบันวิลเลียมส์ ชาวอเมริกันเก้าล้านคน หรือประมาณ 3.4% ของประชากรผู้ใหญ่ระบุตนเองว่าเป็นรักร่วมเพศ รักสองเพศหรือข้ามเพศ[232][233]การสำรวจมติมหาชนปี 2016 ยังสรุปว่า 4.1% ของชาวอเมริกันผู้ใหญ่ระบุตนเป็นแอลจีบีที ร้อยละสูงสุดมาจากเขตโคลัมเบีย (10%) ส่วนรัฐที่ตัวเลขต่ำสุด คือ รัฐนอร์ทดาโกตาที่ 1.7%[234] การสำรวจในปี 2013 ศูนย์สำหรับการควบคุมและป้องกันโรคพบว่า 96.6% ระบุตนว่าตรงเพศ ส่วน 1.6% ระบุว่าเป็นเกย์หรือเลสเบียน และ 0.7% ระบุว่าเป็นรักสองเพศ[235]
ในปี ค.ศ. 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนมีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียนหรือชนพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านคนที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษชนพื้นเมืองฮาวายหรือชาวเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านคนมีเฉพาะบรรพบุรุษดังกล่าว)[236] สำมะโนนับกว่า 19 ล้านคนอยู่ใน "เชื้อชาติอื่น" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้" ว่าอยู่ในหมวดเชื้อชาติอย่างเป็นทางการห้าหมวดในปี 2010 โดยมีกว่า 18.5% (97%) ของจำนวนนี้มีชาติพันธุ์ฮิสแปนิก[236]
การเติบโตของประชากรฮิสแปนิกและละติโนอเมริกัน (คำดังกล่าวใช้แทนกันได้อย่างเป็นทางการ) เป็นแนวโน้มประชากรศาสตร์ที่สำคัญ สำนักงานสำมะโนระบุชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก 50.5 ล้านคน[236] ว่ามี "ชาติพันธุ์" แยกต่างหาก 64% ของฮิสแปนิกอเมริกันมีเชื้อสายเม็กซิโก[237] ระหว่างปี 2000 ถึง 2010 ประชากรฮิสแปนิกของประเทศเพิ่ม 43% ขณะที่ประชากรที่มิใช่ฮิสแปนิกเพิ่มเพียง 4.9%[238] การเติบโตส่วนมากมาจากการเข้าเมือง ในปี 2007 12.7% ของประชากรสหรัฐเกิดต่างด้าว ขณะที่ 54% ในจำนวนนี้เกิดในละตินอเมริกา[239]
ชาวอเมริกันประมาณ 82% อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมชานเมือง)[187] ในจำนวนนี้ประมาณกึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในนครที่มีประชากรกว่า 50,000 คน[240] สหรัฐมีหลายกลุ่มนครที่เรียก เมกะรีจัน (megaregion) เมกะรีจันขนาดใหญ่สุดคือ อภิมหานครเกรตเลกส์ (Great Lakes Megalopolis) ตามด้วยอภิมหานครตะวันออกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียใต้ ในปี 2008 มีเทศบาล 273 เทศบาลที่มีประชากรกว่า 100,000 คน มีเก้านครที่มีผู้อยู่อาศัยกว่าหนึ่งล้านคน และสี่นครโลกที่มีประชากรกว่าสองล้านคน (นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ชิคาโกและฮุสตัน)[241] มี 52 พื้นที่มหานครที่มีประชากรกว่าหนึ่งล้านคน[242] พื้นที่มหานครที่เติบโตเร็วที่สุด 47 จาก 50 พื้นที่อยู่ในภาคตะวันตกหรือภาคใต้[243] พื้นที่มหานครแซนเบอร์นาร์ดีโน แดลลัส ฮุสตัน แอตแลนตาและฟีนิกซ์ล้วนเติบโตกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008[242]
ศูนย์กลางประชากรอันดับต้น
อันดับนครแกนกลางประชากรในพื้นที่นครบาลพื้นที่สถิตินครบาลภาค[244]
นครนิวยอร์ก
ลอสแองเจลิส
ชิคาโก
แดลลัส
1นครนิวยอร์ก20,182,305นครนิวยอร์ก-นูอาร์ก-เจอร์ซีย์, NY-NJ-PA MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
2ลอสแองเจลิส13,340,068ลอสแองเจลิส–ลองบีช–แอนะไฮม์, CA MSAตะวันตก
3ชิคาโก9,551,031ชิคาโก–โจเลียต–เนเพอร์วิลล์, IL–IN–WI MSAตะวันตกกลาง
4แดลลัส–ฟอร์ตเวิร์ธ7,102,796แดลลัส–ฟอร์ตเวิร์ธ–อาร์ลิงตัน, TX MSAใต้
5ฮิวสตัน6,656,947ฮิวสตัน–เดอะวูดแลนส์-ชูการ์แลนด์ MSAใต้
6วอชิงตัน ดี.ซี.6,097,684วอชิงตัน ดี.ซี.–VA–MD–WV MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
7ฟิลาเดลเฟีย6,069,875ฟิลาเดลเฟีย–แคมเดน–วิลมิงตัน, PA–NJ–DE–MD MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
8ไมแอมี6,012,331ไมแอมี–ฟอร์ตลอเดอร์เดล–พอมพาโนบีช, FL MSAใต้
9แอตแลนตา5,710,795แอตแลนตา–แซนดีสปริงส์–มารีเอตตา, GA MSAใต้
10บอสตัน4,774,321บอสตัน–เคมบริดจ์–ควินซี, MA–NH MSAตะวันออกเฉียงเหนือ
11ซานฟรานซิสโก4,656,132ซานฟรานซิสโก–โอกแลนด์–ฟรีมอนต์, CA MSAตะวันตก
12ฟีนิกซ์4,574,531ฟีนิกซ์–เมซา–เกลนเดล, AZ MSAตะวันตก
13ริเวอร์ไซด์–แซนเบอร์นาร์ดีโน4,489,159ริเวอร์ไซด์–แซนเบอร์นาร์ดีโน–ออนแทริโอ, CA MSAตะวันตก
14ดีทรอยต์4,302,043ดีทรอยต์–วอร์เรน–ลีโวเนีย, MI MSAตะวันตกกลาง
15ซีแอตเทิล3,733,580ซีแอตเทิล–ทาโคมา–เบลวิว, WA MSAตะวันตก
16มินนีแอโพลิส–เซนต์พอล3,524,583มินนีแอโพลิส–เซนต์พอล–บลูมิงตัน, MN–WI MSAตะวันตกกลาง
17แซนดีเอโก3,299,521แซนดีเอโก–คาลส์แบด ช–แซนมาร์คัส, CA MSAตะวันตก
18แทมปา–เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก2,975,225แทมปา–เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก–เคลียร์วอเทอร์, FL MSAใต้
19เดนเวอร์2,814,330เดนเวอร์–ออโรรา–เลกวูด, CO MSAตะวันตก
20เซนต์หลุยส์2,811,588เซนต์หลุยส์ MO–IL MSAตะวันตกกลาง
ตามการประมาณประชากรปี 2015 จากสำนักสำมะโนสหรัฐ[245]ภาษา[แก้]ภาษาที่คนกว่า 1 ล้านคนพูดที่บ้านในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2010)[246][fn 6]ภาษาร้อยละของ
ประชากรจำนวน
ผู้พูดจำนวนผู้พูด
ภาษาอังกฤษ
ได้ดีหรือดีมากอังกฤษ (เท่านั้น)80%233,780,338ทุกคน
รวมทุกภาษา
ที่มิใช่อังกฤษ20%57,048,61743,659,301
สเปน
(ไม่รวมปวยร์โตรีโกและผสมสเปน)12%35,437,98525,561,139
จีน
(รวมภาษากวางตุ้งมาตรฐานและภาษาจีนมาตรฐาน)0.9%2,567,7791,836,263
ตากาล็อก0.5%1,542,1181,436,767
เวียดนาม0.4%1,292,448879,157
ฝรั่งเศส
(รวมเคจันแต่ไม่รวมผสมเฮติ)0.4%1,288,8331,200,497
เกาหลี0.4%1,108,408800,500
เยอรมัน0.4%1,107,8691,057,836ภาษาอังกฤษ (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้ไม่มีภาษาราชการในระดับสหพันธรัฐ แต่กฎหมายบางฉบับ เช่น ข้อกำหนดการแปลงสัญชาติของสหรัฐ วางมาตรฐานภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรอายุตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป พูดภาษาอังกฤษที่บ้านเท่านั้น ภาษาสเปน ซึ่งมีประชากร 12% พูดที่บ้าน เป็นภาษาที่พบมากที่สุดอันดับสองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันแพร่หลายที่สุด[247][248] ชาวอเมริกันบางส่วนสนับสนุนให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของประเทศ เนื่องจากเป็นภาษาราชการแล้วใน 32 รัฐ[249]
ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการในรัฐฮาวายตามกฎหมายของรัฐ[250] แม้ไม่มีภาษาราชการ แต่รัฐนิวเม็กซิโกมีกฎหมายที่กำหนดการใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน เช่นเดียวกับที่รัฐลุยเซียนากำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส[251] รัฐอื่น เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียมีคำสั่งศาลสูงให้พิมพ์เผยแพร่เอกสารราชการบางชนิดเป็นภาษาสเปน รวมทั้งแบบของศาล[252] หลายเขตอำนาจที่มีผู้ไม่พูดภาษาอังกฤษจำนวนมากมีการผลิตเอกสารรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสนเทศการเลือกตั้ง ในภาษาที่มีผู้พูดแพร่หลายในเขตอำนาจเหล่านั้น
หลายดินแดนเกาะให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อภาษาพื้นเมืองร่วมกับภาษาอังกฤษ โดยอเมริกันซามัวและกวมรับรองภาษาซามัว[253] และภาษาชามอร์โร[254] ตามลำดับ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนารับรองภาษาแคโรไลน์และชามอร์โร[255] ชาติเชอโรคีรับรองภาษาเชอโรคีอย่างเป็นทางการในพื้นที่เขตอำนาจเผ่าเชอโรคีในรัฐโอกลาโฮมาตะวันออก ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการในปวยร์โตรีโกและมีพูดกันแพร่หลายกว่าภาษาอังกฤษที่นั่น[256]
ภาษาต่างด้าวที่สอนกันกว้างขวางที่สุดในทุกระดับในสหรัฐ (ในแง่ของจำนวนผู้ลงทะเบียน) ได้แก่ ภาษาสเปน (ผู้เรียนประมาณ 7.2 ล้านคน) ฝรั่งเศส (1.5 ล้านคน) และเยอรมัน (500,000 คน) ภาษาที่มีสอนแพร่หลายอื่น (โดยมีผู้เรียน 100,000 ถึง 250,000 คน) มีภาษาละติน ญี่ปุ่น ภาษาใบ้อเมริกัน ภาษาอิตาลีและจีน[257][258] 18% ของชาวอเมริกันอ้างว่าตนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานอกจากภาษาอังกฤษ[259]
ศาสนา[แก้]ศาสนาที่นับถือในสหรัฐ (ปี ค.ศ. 2014)[260]ศาสนา% ของประชากรสหรัฐคริสต์70.6
โปรเตสแตนต์46.5
โปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล25.4
โปรเตสแตนต์สายหลัก14.7
คริสตจักรดำ6.5
คาทอลิก20.8
มอรมอน1.6
พยานพระยะโฮวา0.8
อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์0.5
คริสต์อื่น0.4
ยูดาห์1.9
อิสลาม1
พุทธ0.7
ฮินดู0.7
ศาสนาอื่น1.8
ไม่มีศาสนา22.8
ไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง15.8
อไญยนิยม4.0
อเทวนิยม3.1
ไม่ทราบหรือปฏิเสธไม่ตอบ0.6 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งแรกรับประกันการนับถือศาสนาอย่างเสรีและห้ามรัฐสภาผ่านกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันศาสนา
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในสหรัฐ ในการสำรวจปี ค.ศ. 2013 ชาวอเมริกัน 56% กล่าวว่า ศาสนามี "บทบาทสำคัญมากในชีวิตของพวกเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขสูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นมาก[261] ในการสำรวจมติมหาชนปี ค.ศ. 2009 ชาวอเมริกัน 42% กล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์หรือเกือบทุกสัปดาห์ ตัวเลขดังกล่าวแปรผันตั้งแต่ 23% ในรัฐเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในรัฐมิสซิสซิปปี[262] ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยและผู้ประพันธ์เรียกสหรัฐว่าเป็น "ชาติโปรเตสแตนต์" หรือ "ก่อตั้งบนหลักการโปรเตสแตนต์"[263][264][265][266] โดยเน้นมรดกลัทธิคาลวินเป็นพิเศษ[267][268][269]
สหรัฐเริ่มเคร่งศาสนาน้อยลงเช่นเดียวกับประเทศตะวันตกอื่น การไม่มีศาสนาเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30 ปี[270] การสำรวจแสดงว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมเสื่อมลงมาตั้งแต่กลางถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980[271] โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันอายุน้อยที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น[272] การศึกษาในปี 2012 บ่งชี้ว่าสัดส่วนประชากรสหรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ลดลงเหลือ 48% ทำให้ยุติสถานภาพเป็นหมวดศาสนาของฝ่ายข้างมากเป็นครั้งแรก[273][274] ชาวอเมริกันที่ไม่มีศาสนามีบุตร 1.7 คนเทียบกับคริสต์ศาสนิกชน 2.2 คน ผู้ไม่นับถือศาสนายังมีแนวโน้มสมรสน้อยกว่าคริสต์ศาสนิกชน 37% ต่อ 52%[275]
จากการสำรวจปี ค.ศ. 2014 ผู้ใหญ่ 70.6% ระบุตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน[276] ลดลงจาก 73% ในปี 2012[277] โปรเตสแตนต์นิกายต่าง ๆ คิดเป็น 46.5% ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด[278] ศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาคริสต์ที่รายงานทั้งหมดในปี 2014 มี 5.9%[278] ศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%)[278] การสำรวจยังรายงานว่าชาวอเมริกัน 22.8% ระบุตัวเองว่าอไญยนิยม, อเทวนิยมหรือไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990[278][279][280] นอกจากนี้ยังมีชุมชน ยูนิทาเรียนยูนิเวอร์แซลิสต์, ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื๊อ, ลัทธิเต๋า, ดรูอิด, พื้นเมืองอเมริกัน, วิคะ, มนุษยนิยม, และเทวัสนิยม[281]
โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีคริสตจักรแบปทิสต์รวมกันเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และสหคริสตจักรแบปทิสต์ใต้ (Southern Baptist Convention) เป็นนิกายโปรเตสแตนต์เดี่ยวที่ใหญ่สุด ชาวอเมริกันประมาณ 26% ระบุตนเป็นโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัล (Evangelical Protestant) ส่วน 15% เป็นสายหลัก (Mainline) และ 7% เป็นคริสตจักรดำดั้งเดิม โรมันคาทอลิกในสหรัฐมีเหง้าในการทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของสเปนและฝรั่งเศส และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการเข้าเมืองของชาวไอริช อิตาลี โปแลนด์ เยอรมันและสเปน รัฐโรดไอแลนด์มีร้อยละของคาทอลิกสูงสุดโดยมี 40% ของประชากร[282] นิกายลูเทอแรนในสหรัฐกำเนิดจากการเข้าเมืองจากยุโรปเหนือและประเทศเยอรมนี รัฐนอร์ทและเซาท์ดาโคตาเป็นเพียงสองรัฐที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นลูเทอร์แรนมากกว่า ผู้เข้าเมืองชาวสกอตและสกอตอัลสเตอร์เผยแผ่นิกายเพรสไบทีเรียนในทวีปอเมริกาเหนือ แม้นิกายดังกล่าวได้เผยแผ่ทั่วสหรัฐ แต่กระจุกอยู่ในชายฝั่งตะวันออกเป็นหลัก มีการก่อตั้งกลุ่มผู้นับถือศาสนาปฏิรูปดัตช์ครั้งแรกในนิวอัมสเตอร์ดัม (นครนิวยอร์ก) ก่อนเผยแผ่ไปทางทิศตะวันตก รัฐยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่มอรมอนเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ ฉนวนมอรมอนยังขยายไปถึงบางส่วนของรัฐไอดาโฮ เนวาดาและไวโอมิง[283]
เข็มขัดไบเบิล (Bible Belt) เป็นภาษาปากใช้เรียกภูมิภาคในภาคใต้ของสหรัฐซึ่งโปรเตสแตนต์อีวานเจลิคัลซึ่งเป็นอนุรักษนิยมทางสังคมเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและอัตราการเข้าโบสถ์คริสต์ในนิกายต่าง ๆ ปกติสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ในทางกลับกัน ศาสนามีบทบาทสำคัญน้อยในรัฐนิวอิงแลนด์และภาคตะวันตกของสหรัฐ[262]
โครงสร้างครอบครัว[แก้]ในปี 2007 ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป 58% สมรส 6% เป็นม่าย 10% หย่าร้าง และ 25% ไม่เคยสมรส[284] ขณะนี้หญิงส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีมากกว่าชาย[285]
อัตราการตั้งครรภ์วัยรุ่นสหรัฐอยู่ที่ 26.5 คนต่อ 1,000 คน อัตราดังกล่าวลดลง 57% จากปี 1991[286] ในปี 2013 อัตราเกิดวัยรุ่นสูงสุดอยู่ในรัฐแอลาบามา และต่ำสุดในรัฐไวโอมิง[286][287] การทำแท้งชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ เนื่องจากคดีระหว่างโรและเวด (Roe v. Wade) คำวินิจฉัยบรรทัดฐานในปี 1973 ของศาลสูงสุดแห่งสหรัฐ แม้อัตราการทำแท้งจะลดลง แต่อัตราทำแท้ง 241 ต่อ 1,000 การคลอดมีชีพและอัตราการทำแท้ง 15 คนต่อ 1,000 คนในหญิงอายุระหว่าง 15–44 ปีก็ยังสูงกว่าอัตราของชาติตะวันตกส่วนใหญ่[288]ในปี 2013 อายุเฉลี่ยของการคลอดครั้งแรกอยู่ที่ 26 ปีและ 40.6% ของการเกิดเกิดกับหญิงไม่สมรส[289]
มีการประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของปี 2013 ไว้ที่ 1.86 การเกิดต่อหญิง 1 คน[290] การรับบุตรบุญธรรมในสหรัฐมีทั่วไปและค่อนข้างง่ายจากมุมมองกฎหมายเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่น[291] ในปี 2001 ด้วยการรับบุตรบุญธรรมกว่า 127,000 คน สหรัฐคิดเป็นเกืบอกึ่งหนึ่งของจำนวนการรับบุตรบุญธรรมทั้งหมดทั่วโลก[292] การสมรสเพศเดียวกันชอบด้วยกฎหมายทั่วประเทศและคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมได้ตามกฎหมาย พหุสามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายทั่วทั้งสหรัฐ[293]
การเมืองการปกครอง[แก้]
อาคารรัฐสภาสหรัฐ
สถานที่ประชุมของรัฐสภา
ได้แก่ วุฒิสภา (ซ้ายมือ) สภาผู้แทนราษฎร (ขวามือ)
ทำเนียบขาว จวนและที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐ
อาคารศาลสูงสุด ที่ประชุมของศาลสูงสุดสหรัฐเป็นสหพันธรัฐเก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังรอดมาถึงปัจจุบัน เป็นสาธารณรัฐแบบมีรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน "ซึ่งการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์มากถูกจำกัดโดยสิทธิฝ่ายข้างน้อยที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย"[294] มีการวางระเบียบการปกครองด้วยระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่นิยามตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ[295] สำหรับปี 2016 สหรัฐจัดอยู่ในอันดับที่ 21 ตามดัชนีประชาธิปไตย[296] และอันดับที่ 18 ในดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน[297]
ในระบบสหพันธรัฐนิยมอเมริกา ปกติพลเมืองอยู่ใต้บังคับแห่งการปกครองสามระดับ คือ สหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น หน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นปกติแบ่งกันระหว่างรัฐบาลเทศมณฑล (county) และองค์การเทศบาล ในเกือบทุกกรณี ข้าราชการฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติมาจากการเลือกตั้งแบบคะแนนเสียงที่เหนือกว่าของพลเมืองแบ่งตามเขต ไม่มีการมีผู้แทนตามสัดส่วนในระดับสหพันธรัฐ และพบน้อยในระดับล่างกว่า[298]
รัฐบาลกลางประกอบด้วยสามอำนาจ ได้แก่
- สภานิติบัญญัติ: รัฐสภาซึ่งใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ออกกฎหมายกลาง ประกาศสงคราม รับรองสนธิสัญญา มีอำนาจผ่านงบประมาณ (power of the purse)[299] และมีอำนาจฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง ซึ่งสามารถถอดถอนสมาชิกรัฐบาลปัจจุบันได้[300]
- ฝ่ายบริหาร: ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด สามารถใช้สิทธิยับยั้งร่างกฎหมายก่อนมีผลใช้บังคับ (แต่สามารถถูกรัฐสภาแย้งได้) และแต่งตั้งสมาชิกคณะรัฐมนตรี (โดยการอนุมัติของวุฒิสภา) และข้าราชการอื่น ซึ่งปกครองและใช้บังคับกฎหมายและนโยบายกลาง[301]
- ฝ่ายตุลาการ: ศาลสูงสุดและศาลกลางระดับล่างกว่า ซึ่งผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีด้วยการอนุมัติของวุฒิสภา ตีความกฎหมายและยกเลิกกฎหมายที่วินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ[302]
วุฒิสภามีสมาชิก 100 คน โดยแต่ละรัฐมีสมาชิกวุฒิสภาสองคน ได้รับเลือกตั้งโดยไม่แบ่งเขตมีวาระละ 6 ปี ตำแหน่งวุฒิสภาหนึ่งในสามมีการเลือกตั้งปีเว้นปี ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกตั้งได้ไม่เกินสองครั้ง ประธานาธิบดีมิได้เลือกตั้งจากคะแนนเสียงโดยตรง แต่มาจากระบบคณะผู้เลือกตั้งทางอ้อมซึ่งกำหนดคะแนนเสียงที่จัดสัดส่วนให้แก่รัฐและเขตโคลัมเบีย ศาลสูงสุด ซึ่งมีประธานศาลสูงสุดแห่งสหรัฐเป็นหัวหน้า มีสมาชิกเก้าคน ซึ่งดำรงตำแหน่งตลอดชีพ[304]
อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพในนครนิวยอร์กเป็นสัญลักษณ์ของทั้งสหรัฐและอุดมการณ์เสรีภาพ ประชาธิปไตยและโอกาส[305]รัฐบาลรัฐมีโครงสร้างคล้าย ๆ กัน แต่รัฐเนแบรสกามีสภานิติบัญญัติที่ใช้ระบบสภาเดียวต่างจากรัฐอื่น[306] ผู้ว่าการแต่ละรัฐ (หัวหน้าฝ่ายบริหาร) มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ผู้พิพากาษาและคณะรัฐมนตรีของบางรัฐมาจากการแต่งตั้งของผู้ว่าการของรัฐนั้น ๆ แต่บางรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ข้อความดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างและความรับผิดชอบของรัฐบาลกลางและความสัมพันธ์กับรัฐหนึ่ง ๆ มาตรา 1 คุ้มครองสิทธิหมายสั่งให้ส่งตัวผู้ถูกคุมขังมาศาล รัฐธรรมนูญมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง[307] การแก้ไขเพิ่มเติมสิบครั้งแรก ซึ่งรวมเรียว่า รัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ก่อเป็นรากฐานกลางของสิทธิปัจเจกของชาวอเมริกัน กฎหมายและวิธีดำเนินการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การพิจารณาทบทวนโดยศาลและกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยว่าละเมิดรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ศาลสูงสุดสถาปนาหลักการพิจารณาทบทวนโดยศาล แม้มิได้กล่าวไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ในคดีระหว่างมาร์บูรีกับเมดิสัน (Marbury v. Madison) ปี 1803[308]
เขตรัฐกิจ[แก้]ดูบทความหลักที่: เขตทางการเมืองของสหรัฐ, รัฐ (สหรัฐ), ดินแดนของสหรัฐ, รายชื่อรัฐและดินแดนของสหรัฐ และ เขตสงวนอินเดียน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่: Territorial evolution of the United States และ การได้มาซึ่งดินแดนของสหรัฐ
แผนที่เขตเศรษฐกิจเขตเศรษฐกิจจำเพาะของสหรัฐ[309] แสดงรัฐ ดินแดนและการครอบครองสหรัฐเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐประกอบด้วย 50 รัฐ เขตสหพันธรัฐ ห้าดินแดนและเกาะที่ไม่มีคนอยู่อาศัยสิบเอ็ดเกาะ[310] รัฐและดินแดนเป็นเขตการปกครองหลักในประเทศ แบ่งเป็นเขตย่อยเทศมณฑลและนครอิสระ เขตโคลัมเบียเป็นเขตสหพันธรัฐซึ่งมีเมืองหลวงของสหรัฐ คือ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รัฐและเขตโคลัมเบียเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ละรัฐมีผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีเทียบเท่ากับผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในรัฐสภา เขตโคลัมเบียมีสามคน[311]
เขตรัฐสภามีการกำหนดจำนวนผู้แทนตามส่วนของพลเมืองใหม่ของรัฐหลังสำมะโนประชากรทุกสิบปี แล้วแต่ละรัฐเป็นเขตสมาชิกหนึ่งให้เป็นไปตามการจัดสัดส่วนสำมะโน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และสมาชิกรัฐสภาผู้แทนเป็นตัวแทนของเขตโคลัมเบียและห้าดินแดนหลักของสหรัฐ[312]
สหรัฐยังมีอำนาจอธิปไตยชนเผ่า (tribal sovereignty) ของชาติอเมริกันอินเดียนในขอบเขตจำกัด เช่นเดียวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐ อเมริกันอินเดียนเป็นพลเมืองสหรัฐและดินแดนชนเผ่าอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐสภาสหรัฐและศาลสหพันธรัฐ เช่นเดียวกับรัฐ ชนเผ่ามีอัตตาณัติสูง แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศสงคราม มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชองตนเอง หรือพิมพ์และออกเงินตรา[313]
พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง[แก้]
ดอนัลด์ ทรัมป์
ประธานาธิบดีคนที่ 45
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017
ไมก์ เพนซ์
รองประธานาธิบดีคนที่ 48
ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2017สหรัฐใช้ระบบสองพรรคมาเกือบตลอดประวัติศาสตร์[314] สำหรับตำแหน่งเลือกตั้งแทบทุกระดับ การเลือกตั้งผู้สมัครรอบแรกที่รัฐจัดการเลือกผู้ได้รับเสนอชื่อของพรรคการเมืองหลักสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา นับแต่การเลือกตั้งทั่วไปปี 1856 พรรคการเมืองหลักได้แก่ พรรคเดโมแครตซึ่งก่อตั้งในปี 1824 และพรรคริพับลิกันซึ่งก่อตั้งในปี 1854 นับแต่สงครามกลางเมือง มีผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีจากพรรคที่สามเพียงคนเดียว คือ อดีตประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ ซึ่งมาจากพรรคก้าวหน้าในปี 1912 ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านระบบคณะผู้เลือกตั้ง[315]
ภายในวัฒนธรรมการเมืองอเมริกา พรรครีพับลิกันฝ่ายกลางขวาถือว่าเป็น "อนุรักษนิยม" และพรรคเดโมแครตฝ่ายกลางซ้ายถือว่าเป็น "เสรีนิยม"[316][317] รัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันตกและรัฐเกรตเลกส์บางรัฐรู้จักกันในนาม "รัฐน้ำเงิน" ค่อนข้างเป็นเสรีนิยม "รัฐแดง" ในภาคใต้และบางส่วนของเกรตเพลนส์และเทือกเขาร็อกกีค่อนข้างเป็นอนุรักษนิยม
ดอนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน ผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45[318] ผู้นำปัจจุบันในวุฒิสภา ได้แก่ รองประธานาธิบดีไมก์ เพนซ์จากพรรครีพับลิกัน ประธานชั่วคราวออร์ริน แฮช (Orrin Hatch) จากพรรครีพับลิกัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก มิตช์ แม็กคอนเนล (Mitch McConnell) และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย ชัก ชูเมอร์(Chuck Schumer)[319] ผู้นำในสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรพอล ไรอัน หัวหน้าฝ่ายข้างมาก เควิน แม็กคาร์ที และหัวหน้าฝ่ายข้างน้อย แนนซี เพโลซี[320]
ในรัฐสภาสหรัฐสมัยที่ 115 พรรครีพับลิกันครองทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ปัจจุบันวุฒิสภามีรีพับลิกัน 52 คน เดโมแครต 46 คน และอิสระ 2 คนซึ่งประชุมลับกับเดโมแครต สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยรีพับลิกัน 241 คนและเดโมแครต 194 คน[321] ในตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ มีรีพับลิกัน 33 คน เดโมแครต 16 คนและอิสระ 1 คน[322] ในบรรดานายกเทศมนตรี ดี.ซี. และผู้ว่าการดินแดน 5 คน มีรีพับลิกัน 2 คน เดโมแครต 1 คน ก้าวหน้าใหม่ 1 คนและอิสระ 2 คน[323]
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐ และ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐ
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติสร้างขึ้นในใจกลางเมืองแมนฮัตตันในปี 1952[324]สหรัฐมีโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งได้รับการยอมรับ เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและนครนิวยอร์กเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เป็นสมาชิกจี7[325] จี20 และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เกือบทุกประเทศมีสถานเอกอัครราชทูตในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และหลายประเทศมีสถานกงสุลทั่วประเทศ ในทำนองเดียวกัน เกือบทุกประเทศมีคณะทูตอเมริกันอยู่ อย่างไรก็ตาม อิหร่าน เกาหลีเหนือ ภูฏานและสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ไม่มีความสัมพันธ์ทางทูตอย่างเป็นทางการกับสหรัฐ (แม้สหรัฐยังมีความสัมพันธ์กับไต้หวันและส่งยุทธภัณฑ์ให้)[326]
สหรัฐมี "ความสัมพันธ์พิเศษ" กับสหราชอาณาจักร[327] และความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับประเทศแคนาดา[328] ออสเตรเลีย,[329]นิวซีแลนด์[330] ฟิลิปปินส์[331] ญี่ปุ่น[332] เกาหลีใต้[333] อิสราเอล[334] และอีกหลายประเทศสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศฝรั่งเศส อิตาลีเยอรมนีและสเปน สหรัฐทำงานอย่างใกล้ชิดกับสมาชิกนาโตด้วยกันในประเด็นทางทหารและความมั่นคง และกับประเทศเพื่อนบ้านโดยผ่านองค์การนานารัฐอเมริกัน และข้อตกลงการค้าเสรี เช่น ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือไตรภาคีกับประเทศแคนาดาและเม็กซิโก ในปี 2008 สหรัฐใช้งบประมาณสุทธิ 25,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือพัฒนาอย่างเป็นทางการ ซึ่งมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม การให้เงินช่วยเหลือของสหรัฐ 0.18% เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของรายได้มวลรวมประชาชาติของสหรัฐ ทำให้จัดอยู่อันดับสุดท้ายในบรรดารัฐบริจาค 22 ประเทศ ในทางตรงข้าม การให้เงินต่างประเทศของเอกชนโดยชาวอเมริกันค่อนข้างเผื่อแผ่[335]
สหรัฐใช้อำนาจและความรับผิดชอบด้านการป้องกันประเทศระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์สำหรับสามรัฐเอกราชผ่านความตกลงระหว่างประเทศสมาคมอิสระ (Compact of Free Association) กับไมโครนีเซีย หมู่เกาะมาร์แชลล์และปาเลา ประเทศเหล่านี้เป็นชาติเกาะแปซิฟิก ซึ่งเคยเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีหมู่เกาะแปซิฟิก (Trust Territory of the Pacific Islands) ที่สหรัฐบริหารหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้รับเอกราชในเวลาต่อมา[336]
การคลังภาครัฐ[แก้]
หนี้สินรัฐบาลกลางสหรัฐที่ภาครัฐบาลถือครองเป็นร้อยละของจีดีพี ตั้งแต่ปี 1790 ถึง 2013[337]ภาษีในสหรัฐมีการจัดเก็บในระดับรัฐบาลสหพันธรัฐ รัฐและท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึงภาษีรายได้, หักจากค่าจ้าง, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, มรดกและการให้ ตลอดจนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในปี 2010 ภาษีที่รัฐบาลกลาง รัฐ และเทศบาลจัดเก็บได้คิดเป็น 24.8% ของจีดีพี[338] ช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางจัดเก็บรายได้จากภาษีประมาณ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, เพิ่มขึ้น 147,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ 2.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของปีงบประมาณ 2011 หมวดหมู่หลักได้แก่ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (1,132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 47%) ภาษีหลักประกันสังคม/การประกันสังคม (845,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 35%) และภาษีนิติบุคคล (242,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 10%)[339] ตามการประมาณของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา[340] ภายใต้กฎหมายภาษีปี 2013 ผู้มีรายได้สูงสุด 1% จะจ่ายอัตราภาษีเฉลี่ยสูงสุดนับแต่ปี 1979 ส่วนกลุ่มรายได้อื่นยังอยู่ในอัตราต่ำสุดเป็นประวัติการณ์[341]
โดยทั่วไปการเก็บภาษีอากรของสหรัฐเป็นแบบก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นแบบก้าวหน้ามากที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว[342][343][344][345][346] ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่ายภาษีของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่[347] และเกือบครึ่งหนึ่งของภาษีทั้งหมด[348] ภาษีหักจากค่าจ้างสำหรับหลักประกันสังคมเป็นภาษีถดถอยแนวราบ โดยไม่มีการเก็บภาษีกับรายได้เกิน 118,500 ดอลลาร์สหรัฐ (สำหรับปี 2015 และ 2016) และไม่เก็บภาษีเลยสำหรับผู้ไม่มีรายได้จากหลักทรัพย์และกำไรส่วนทุน[349][350] การให้เหตุผลเดิมสำหรับสภาพถดถอยของภาษีหักจากค่าจ้าง คือ โครงการการให้สิทธิ์ไม่ถูกมองเป็นการโอนสวัสดิการ[351][352] ทว่า ตามข้อมูลของสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา ผลลัพธ์สุทธิของหลักประกันสังคม คือ อัตราประโยชน์ต่อภาษีมีพิสัยตั้งแต่ประมาณ 70% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้สูงสุดถึงประมาณ 170% สำหรับ 20% ของผู้มีรายได้ต่ำสุด ทำให้ระบบเป็นแบบก้าวหน้า[353]
ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่าย 51.8% ของภาษีรัฐบาลกลางทั้งหมดในปี 2009 และผู้มีรายได้สูงสุด 1% ซึ่งมีรายได้ประชาชาติก่อนเสียภาษี 13.4% จ่ายภาษีรัฐบาลกลาง 22.3%[345]ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีพยากรณ์ว่าอัตราภาษียังผลของรัฐบาลกลาง 35.5% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 29.7% สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 20%, 13.8% สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางและ −2.7% สำหรับผู้มีรายได้ต่ำสุด[354][355] ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นประเด็นกรณีโต้เถียงที่กำลังดำเนินอยู่มาหลายทศวรรษ[343][356] ภาษีรัฐและท้องถิ่นแตกต่างกันมาก แต่โดยทั่วไปเป็นแบบถดถอยน้อยกว่าภาษีรัฐบาลกลางเพราะการจัดเก็บภาษีนั้นอาศัยภาษีการขายและทรัพย์สอนแบบถดถอยซึ่งให้กระแสรายได้ที่ลบเลือนได้น้อยกว่า แม้รวมภาษีเหล่านี้ด้วยแล้ว การจัดเก็บภาษีโดยรวมก็ยังเป็นแบบก้าวหน้า[343][357]
ระหว่างปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางใชังบประมาณหรือเกณฑ์เงินสด 3.54 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้ 3.60 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายจ่ายหมวดหลักในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่ เมดิแคร์และเมดิเคด (802,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 23% ของรายจ่าย), หลักประกันสังคม (768,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 22%), กระทรวงกลาโหม (670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 19%) ดุลยพินิจนอกเหนือจากการกลาโหม (615,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 17%) รายจ่ายบังคับอื่น (461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 13%) และดอกเบี้ย (223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 6%)[339]
หนี้สินของชาติทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 18.527 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (106% ของจีดีพี) ในปี 2014[358] สหรัฐมีการจัดอันดับเครดิต AA+ จากสแตนดาร์ดแอนด์พัวส์, AAA จากฟิตช์ และ AAA จากมูดีส์[359]
กองทัพ[แก้]ดูบทความหลักที่: กองทัพสหรัฐประธานาธิบดีมีตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร และแต่งตั้งหัวหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเสนาธิการร่วม กระทรวงกลาโหมของสหรัฐบริหารกองทัพ รวมทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ, เหล่านาวิกโยธิน, และกองทัพอากาศ หน่วยยามฝั่งดำเนินการโดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในยามสงบและกระทรวงทหารเรือในยามสงคราม ในปี 2008 กองทัพมีกำลังพลประจำการ 1.4 ล้านนาย หรือ 2.3 ล้านนายหากนับรวมกำลังสำรองและกำลังป้องกันชาติ กระทรวงกลาโหมว่าจ้างพลเรือนประมาณ 700,000 คน ไม่นับรวมผู้รับเหมา[360]
กลุ่มโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน คิตตีฮอว์ก, โรนัลด์ เรแกน และอับราฮัม ลินคอล์น กับเครื่องบินจากเหล่านาวิกโยธิน, กองทัพเรือและกองทัพอากาศราชการทหารเป็นแบบสมัครใจ แม้อาจมีการเกณฑ์ทหารในยามสงครามผ่านระบบราชการคัดเลือก (Selective Service System)[361] กำลังอเมริกาสามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็วโดยกลุ่มอากาศยานขนส่งขนาดใหญ่ของกองทัพอากาศ เรือบรรทุกอากาศยานประจำการ 11 ลำของกองทัพเรือ และหน่วยรบนอกประเทศนาวิกโยธินในทะเลกับกองเรือแอตแลนติกและแปซิฟิกของกองทัพเรือ กองทัพมีฐานทัพและศูนย์ 865 แห่งนอกประเทศ[362] และมีกำลังพลประจำการกว่า 100 นายใน 25 ประเทศ[363]
งบประมาณทางทหารของสหรัฐในปี 2011 อยู่ที่ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 41% เป็นรายจ่ายทางทหารทั่วโลกและเท่ากับรายจ่ายทางทหารของ 14 ชาติที่มีรายจ่ายมากรองลงมารวมกัน อัตรางบประมาณทางทหารอยู่ที่ 4.7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดอันดับสองในบรรดาประเทศที่มีรายจ่ายทางทหารสูงสุด 15 ประเทศ รองจากประเทศซาอุดีอาระเบีย[364] รายจ่ายกลาโหมของสหรัฐเมื่อเทียบเป็นร้อยละของจีดีพีจัดเป็นอันดับที่ 23 ของโลกในปี 2012 ตามข้อมูลของซีไอเอ[365] สัดส่วนรายจ่ายกลาโหมของสหรัฐโดยทั่วไปลดลงในทศวรรษหลัง จากช่วงสงครามเย็นที่สูงสุดที่ 14.2% ของจีดีพีในปี 1953 และ 69.5% ของรายจ่ายรัฐบาลกลางใน 1954 ลงมาที่ 4.7 % ของจีดีพี และ 18.8 % ของรายจ่ายรัฐบาลกลางในปี 2011[366]
ฐานงบประมาณกระทรวงกลาโหมที่เสนอไว้สำหรับปี 2012 มูลค่า 553,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2011 หรือเพิ่ม 118,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการทัพในประเทศอิรักและอัฟกานิสถาน[367] ทหารอเมริกันชุดสุดท้ายที่รับราชการในประเทศอิรักออกจากประเทศในเดือนธันวาคม 2011[368]ข้าราชการทหาร 4,484 นายถูกฆ่าระหว่างสงครามอิรัก[369] มีทหารสหรัฐประมาณ 90,000 นายกำลังรับราชการอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานในเดือนเมษายน 2012[370] ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 มีทหารเสียชีวิต 2,285 นายในสงครามในอัฟกานิสถาน[371]
อาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐ, อาชญากรรมในสหรัฐ, กฎหมายสหรัฐ, การกักขังในสหรัฐ, โทษประหารชีวิตในสหรัฐ และ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐครั้งที่สอง
การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบของกรมตำรวจท้องถิ่นเป็นหลัก[372]การบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐเป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ (sheriff) โดยมีตำรวจของรัฐบริการกว้างกว่า กรมตำรวจนครนิวยอร์กเป็นตำรวจท้องที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หน่วยงานของรัฐบาลกลาง เช่น สำนักงานสอบสวนกลาง(เอฟบีไอ) และราชการพนักงานศาลแขวง (Marshals Service) ของสหรัฐมีหน้าที่ชำนัญพิเศษ ซึ่งรวมการพิทักษ์สิทธิพลเมือง ความมั่นคงของชาติและบังคับใช้คำวินิจฉัยของศาลกลางและกฎหมายกลางของสหรัฐ[373] ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบทุกรัฐ ระบบกฎหมายใช้แบบคอมมอนลอว์ ศาลของรัฐตัดสินคดีอาญาส่วนใหญ่ ศาลกลางรับผิดชอบอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่างตลอดจนคดีอุทธรณ์จากศาลอาญาของรัฐ การต่อรองคำรับสารภาพในสหรัฐพบดาษดื่น คดีอาญาส่วนใหญ่ในประเทศระงับด้วยการต่อรองคำรับสารภาพมิใช่การพิจารณาของคณะลูกขุน[374]
ในปี ค.ศ. 2015 มีการฆ่าคน 15,696 ครั้ง ซึ่งมากกว่าปี ค.ศ. 2014 จำนวน 1,532 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี ค.ศ. 1971[375] อัตราการฆ่าคนในปี 2015 อยู่ที่ 4.9 คนต่อประชากร 100,000 คน[376] ในปี 2016 อัตราการฆ่าคนเพิ่มขึ้น 8.6% โดยมีการฆ่าคน 17,250 ครั้งในปีนั้น[377] อัตราการชำระคดี (clearance rate) สำหรับการฆ่าคนของประเทศในปี 2015 อยู่ที่ร้อยละ 64.1 เมื่อเทียบกับร้อยละ 90 ในปี 1965[378] ในปี 2012 มีการฆ่าคน 4.7 คนต่อประชากร 100,000 คนในสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 จากยอดสูงสุด 10.2 ในปี 1980[379] ในปี 2001–2 สหรัฐมีระดับอาชญากรรมรุนแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงจากปืนสูงเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น[380] การวิเคราะห์ตามขวางของฐานข้อมูลการตายขององค์การอนามัยโลกจากปี 2010 แสดงว่าสหรัฐ "มีอัตราการฆ่าคนสูงกว่าประเทศรายได้สูงอื่น 7.0 เท่า ซึ่งมีสาเหตุจากอัตราการฆ่าคนด้วยปืนซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น 25.2 เท่า"[381] สิทธิความเป็นเจ้าของปืนเป็นหัวข้อการถกเถียงทางการเมืองพิพาท
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ถึง ค.ศ. 2008 ชายคิดเป็นร้อยละ 77 ของผู้ถูกฆ่า และร้อยละ 90 ของผู้ก่อเหตุ ผิวดำก่อเหตุฆ่าคนร้อยละ 52.5 ของทั้งหมดในช่วงนั้น เป็นอัตราเกือบแปดเท่าของผิวขาว (ซึ่งรวมฮิสแปนิกส่วนใหญ่) และเป็นผู้เสียหายมากเป็นหกเท่าของผิวขาว การฆ่าคนส่วนใหญ่เป็นคนผิวเดียวกัน โดยผู้ถูกฆ่าผิวดำร้อยละ 93 ถูกผิวดำฆ่า และผิวขาว 84% ถูกผิวขาวฆ่า[382] ในปี 2012 รัฐลุยเซียนามีอัตราการฆ่าคนและการทำให้คนตายโดยประมาทสูงสุด และรัฐนิวแฮมพ์เชียร์มีอัตราต่ำสุด[383] รายงานอาชญากรรมเอกรูปของเอฟบีไอประมาณว่ามีอาชญากรรมรุนแรงและอาชญากรรมต่อทรัพย์สิน 3,246 ครั้งต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012 รวมมีอาชญากรรมทั้งสิ้นกว่า 9 ล้านครั้ง[384]
มีการอนุมัติโทษประหารชีวิตในสหรัฐสำหรับอาชญากรรมรัฐบาลกลางและทหารบางอย่าง และมีใช้ใน 31 รัฐ[385] ไม่มีการประหารชีวิตระหว่างปี 1967 ถึง 1977 บางส่วนเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐวางข้อกำหนดโทษประหารชีวิตตามอำเภอใจ ในปี 1976 ศาลสูงสุดวินิจฉัยว่าภายใต้พฤติการณ์ที่เหมาะสม อาจบังคับโทษประหารชีวิตได้ตามรัฐธรรมนูญ นับแต่คำวินิจฉัยนั้น มีการประหารชีวิตกว่า 1,300 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามรัฐ ได้แก่ รัฐเท็กซัส เวอร์จิเนียและโอกลาโฮมา[386] ขณะเดียวกัน หลายรัฐเลิกหรือให้โทษประหารชีวิตเป็นโมฆะ ในปี 2015 สหรัฐมีจำนวนการประหารชีวิตสูงสุดในโลกเป็นอันดับห้า รองจากประเทศจีน อิหร่าน ปากีสถานและซาอุดีอาระเบีย[387]
สหรัฐมีอัตราการกักขังที่มีบันทึกและประชากรเรือนจำทั้งหมดสูงสุดในโลก[388] ตั้งแต่ต้นปี 2008 มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนถูกกักขัง คิดเป็นกว่า 1 คนในผู้ใหญ่ 100 คน[389] ในเดือนธันวาคม 2012 ระบบการดัดสันดานผู้ใหญ่ของสหรัฐรวมควบคุมดูแลผู้กระทำผิดประมาณ 6,937,000 คน ผู้อยู่อาศัยผู้ใหญ่ประมาณ 1 ใน 35 คนในสหรัฐอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลการดัดสันดานอย่างใดอย่างหนึ่งในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเท่าที่สังเกตมาตั้งแต่ปี 1997[390] ประชากรเรือนจำเพิ่มขึ้นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980[391] และรายจ่ายของรัฐและท้องถิ่นด้านเรือนจำและคุกเพิ่มขึ้นสามเท่าของรายข่ายด้านศึกษาธิการในช่วงเวลาเดียวกัน[392] อย่างไรก็ดี อัตราการจำคุกสำหรับนักโทษทุกคนที่ได้รับโทษจำคุกมากกว่าหนึ่งปีในสถานที่ของรัฐหรือรัฐบาลกลางอยู่ที่ 478 คนต่อ 100,000 คนในปี 2013[393] และอัตรานักโทษก่อนพิจารณา/ระหว่างพิจรารณาอยู่ที่ 153 คนต่อผู้อยู่อาศัย 100,000 คนในปี 2012[394]อัตราการกักขังที่สูงของประเทศนี้ส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติคำพิพากษาและนโยบายยาเสพติด[395] จากข้อมูลของกรมเรือนจำกลาง ผู้ต้องขังส่วนมากที่ถูกขังในเรือนจำกลางต้องโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด[396] การโอนกิจการของรัฐเป็นของเอกชนซึ่งเรือนจำและราชการเรือนจำซึ่งเริ่มในคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นหัวข้อถกเถียง[397][398]ในปี 2008 รัฐลุยเซียนามีอัตราการกักขังสูงสุด[399] ส่วนรัฐเมนมีต่ำสุด[400]
เศรษฐกิจ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: เศรษฐกิจสหรัฐ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
จีดีพีตามตัวเลข$18.45 ล้านล้าน (Q2 2016)[401]
การเติบโตของจีดีพีจริง1.4% (Q2 2016)[401]
2.6% (2015)[402]
อัตราเงินเฟ้อ ซีพีไอ1.1% (สิงหาคม 2016)[403]
สัดส่วนการจ้างงานต่อประชากร59.7% (สิงหาคม 2016)[404]
การว่างงาน4.9% (สิงหาคม 2016)[405]
อัตราการมีส่วนร่วมแรงงาน62.8% (สิงหาคม 2016)[406]
หนี้สาธารณะ$19.808 ล้านล้าน (25 ตุลาคม 2016)[407]
มูลค่าสุทธิครัวเรือน$89.063 ล้านล้าน (Q2 2016)[408]
แผนผังรายการส่งออกของสหรัฐปี 2011: สหรัฐเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองของโลกสหรัฐมีเศรษฐกิจแบบผสมทุนนิยม[409] ซึ่งขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และผลิตภาพที่สูง[410] จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐอยู่ที่ 16.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 24% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อัตราแลกเปลี่ยนตลาด และกว่า 19% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อำนาจซื้อเสมอภาค (PPP)[411]
จีดีพีตามตัวเลขของสหรัฐโดยประมาณอยู่ที่ 17.528 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2014[412] ตั้งแต่ปี 1983 ถึง 2008 การเติบโตของจีดีพีต่อปีแบบทบต้นแท้จริง (real compounded annual GDP growth) อยู่ที่ 3.3% เทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับประเทศจี7 ที่เหลือ[413] จีดีพีต่อหัวสหรัฐจัดอยู่อันดับเก้าของโลก[414][415] และมีจีดีพีต่อหัวที่พีพีพีอันดับหก[411] ดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินตราสำรองหลักของโลก[416]
สหรัฐเป็นประเทศผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่สุดและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับสอง แม้การส่งออกต่อหัวจะค่อนข้างต่ำ ในปี 2010 การขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐอยู่ที่ 635,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[417] ประเทศแคนาดา จีน เม็กซิโกญี่ปุ่น และเยอรมนีเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุด[418] ในปี ค.ศ. 2010 น้ำมันเป็นโภคภัณฑ์นำเข้ามากที่สุด ขณะที่อุปกรณ์ขนส่งเป็นสินค้าออกใหญ่ที่สุดของประเทศ[417] ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหนี้สาธารณะต่างชาติรายใหญ่สุดของสหรัฐ[419] ผู้ถือหนี้สหรัฐสูงสุดเป็นองค์การของสหรัฐเอง รวมทั้งบัญชีของรัฐบาลกลางและระบบธนาคารกลางที่ถือหนี้ส่วนใหญ่[420][421][422][423]
ในปี ค.ศ. 2009 ประมาณว่าภาคเอกชนประกอบเป็น 86.4% ของเศรษฐกิจ โดยกิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น (รวมเงินโอนของรัฐบาลกลาง) เป็น 9.3% ที่เหลือ[424] จำนวนลูกจ้างของรัฐบาลทุกระดับมากกว่าลูกจ้างในส่วนการผลิต 1.7 ต่อ 1[425] ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐถึงระดับการพัฒนาหลังอุตสาหกรรม (postindustrial) แล้วโดยภาคบริการประกอบเป็น 67.8% ของจีดีพี แต่สหรัฐยังเป็นประเทศอุตสาหกรรม[426] สาขาธุรกิจชั้นนำตามรายการรับ (gross business receipt) ได้แก่การค้าส่งและปลีก ส่วนภาคการผลิตเป็นภาคที่มีรายรับสุทธิสูงสุด[427] ในแบบธุรกิจแฟรนไชส์ แมคโดนัลด์และซับเวย์เป็นยี่ห้อที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดในโลกสองยี่ห้อ โคคา-โคล่าเป็นบริษัทน้ำอัดลมที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีที่สุด[428]
เคมีภัณฑ์เป็นสาขาการผลิตชั้นนำ[429] สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุดอันดับสอง[430] สหรัฐเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์อันดับหนึ่ง ตลอดจนแก๊สธรรมชาติเหลว กำมะถัน ฟอสเฟต และเกลือ
แม้ว่าภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของจีดีพี[426] แต่สหรัฐเป็นผู้ผลิตข้าวโพด[431] และถั่วเหลืองรายใหญ่สุดของโลก[432] สหรัฐเป็นผู้ผลิตและปลูกอาหารดัดแปรพันธุกรรมหลัก โดยคิดเป็นกึ่งหนึ่งของพืชไบโอเทคของโลก[433]
การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2015[434] ในเดือนสิงหาคม 2010 มีแรงงานอเมริกัน 154.1 ล้านคน สาขาการจ้างงานใหญ่สุด คือ ภาครัฐบาล 21.2 ล้านคน การจ้างงานภาคเอกชนใหญ่สุดคือ สาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์ จำนวน 16.4 ล้านคน คนงานประมาณ 12% อยู่ในสหภาพ เทียบกับ 30% ในยุโรปตะวันตก[435] ธนาคารโลกจัดสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความง่ายในการจ้างและไล่คนงาน[436] สหรัฐจัดอยู่อันดับต้นหนึ่งในสามในรายงานความสามารถการแข่งขันโลก (Global Competitiveness Report) เช่นกัน สหรัฐมีรัฐสวัสดิการขนาดเล็กและกระจายรายได้ผ่านการกระทำของรัฐบาลน้อยกว่าชาติยุโรป[437]
สหรัฐเป็นประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าประเทศเดียวที่ไม่รับประกันการหยุดงานโดยจ่ายค่าจ้าง (paid vacation) แก่คนงาน[438] และเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่มีการหยุดงานเลี้ยงบุตรโดยจ่ายค่าจ้าง (family leave) เป็นสิทธิตามกฎหมาย โดยมีประเทศอื่น เช่น ปาปัวนิวกินี ซูรินาม ไลบีเรีย[439] แม้ปัจจุบันกฎหมายกลางไม่รับประกันการลาป่วย แต่เป็นผลประโยชน์ทั่วไปของคนงานของรัฐบาลและพนักงานเต็มเวลาของบริษัท[440] ตามข้อมูลของกรมสถิติแรงงาน คนงานอเมริกันเต็มเวลา 74% ลาหยุดงานโดยได้รับค่าจ้าง แม้คนงานไม่เต็มเวลาเพียง 24% ได้รับผลประโยชน์เดียวกัน[440] ในปี 2009 สหรัฐมีผลิตภาพกำลังแรงงานต่อบุคคลสูงสุดเป็นอันดับสามในโลก รองจากลักเซมเบิร์กและนอร์เวย์ สหรัฐมีผลิตภาพต่อชั่วโมงสูงสุดเป็นอันดับสี่ รองจากสองประเทศดังกล่าวและเนเธอร์แลนด์[441]
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกปี 2008–2012 มีผลกระทบต่อสหรัฐย่างสำคัญ โดยมีผลผลิตต่ำกว่าศักยะตามข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา[442] ภาวะดังกล่าวนำมาซึ่งการว่างงานสูง (ซึ่งลดลงแล้วแต่ยังสูงกว่าระดับก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอย) ร่วมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำ การเสื่อมของมูลค่าบ้านอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มการบังคับเอาทรัพย์จำนองหลุดและการล้มละลายของบุคคล วิกฤตหนี้รัฐบาลกลางบานปลาย ภาวะเงินเฟ้อ และราคาปิโตรเลียมและอาหารเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังมีสัดส่วนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นสถิติ รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องและภาษีและงบประมาณรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น
สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) พบว่า อุตสาหกรรมอาวุธของสหรัฐเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดของโลกตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2009[443] และยังเป็นผู้ส่งออกอาวุธสำคัญรายใหญ่สุดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2014 นำหน้าประเทศรัสเซีย จีนและเยอรมนี[444]
รายได้ ความยากจน และความมั่งคั่ง[แก้]
การพัฒนาบ้านจัดสรรในซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนียชาวอเมริกันมีรายได้ครัวเรือนและจากการจ้างงานเฉลี่ยสูงสุดในบรรดาชาติองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD) และในปี ค.ศ. 2007 มีรายได้ครัวเรือนมัธยฐานสูงสุดเป็นอันดับสอง[445][446][447] ตามข้อมูลของสำนักสำมะโน รายได้ครัวเรือนมัธยฐานคือ 59,039 ดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2016[448] แม้ประชากรอเมริกันมีเพียง 4.4% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันรวมครอบครองความมั่งคั่ง 41.6% ของโลก[449] และเศรษฐีเงินล้าน (millionaire) ประมาณกึ่งหนึ่งของโลกเป็นชาวอเมริกัน[450] ดัชนีความมั่นคงอาหารโลกจัดอันดับสหรัฐอยู่อันดับหนึ่งในด้านความสามารถมีอาหาร (food affordability) และความมั่นคงอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคม 2013[451] ชาวอเมริกันเฉลี่ยมีพื้นที่อยู่อาศัยต่อเคหสถานและต่อบุคคลสูงกว่าผู้อยู่อาศัยในสหภาพยุโรปกว่าสองเท่า และมากกว่าประเทศสหภาพยุโรปทุกประเทศ[452] ในปี 2013 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ของสหรัฐอยู่อันดับ 5 จาก 187 และดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ปรับตามความไม่เสมอภาคแล้วอยู่อันดับที่ 28[453]
หลังการเติบโตชะงักมาหลายปี ในปี ค.ศ. 2016 ข้อมูลจากสำมะโนระบุว่า รายได้ครัวเรือนมัธยฐานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังการเติบโตสูงสุดสองปีติดต่อกัน แม้ว่าความไม่เสมอภาคของรายได้ยังสูงสุดโดยผู้มีรายได้สูงสุด 20% มีรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งหมด[454] มีช่องว่างระหว่างผลิตภาพและรายได้มัธยฐานกว้างขึ้นนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970[455] ทว่า ช่องว่างระหว่างค่าตอบแทนทั้งหมดและผลิตภาพไม่กว้างเท่าอันเนื่องมาจากมีผลประโยชน์ของลูกจ้างเพิ่มขึ้น เช่น ประกันสุขภาพ[456] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 มีสัดส่วนรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากร้อยละ 9 ในปี ค.ศ. 1976 เป็นร้อยละ 20 ในปี ค.ศ. 2011 กระทบต่อความไม่เสมอภาคของรายได้อย่างสำคัญ[457] ทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้กว้างที่สุดในบรรดาประเทศโออีซีดีประเทศหนึ่ง[458] ผู้มีรายได้สูงสุดร้อยละ 1 คิดเป็นร้อยละ 52 ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 ถึงปี ค.ศ. 2015 ทั้งนี้ นิยามรายได้ว่าเป็นรายได้ตลาดไม่รวมเงินโอนของรัฐบาล[459]
ความมั่งคั่งสุทธิมัธยฐานของครอบครัวสหรัฐที่มา: การสำรวจการคลังผู้บริโภคของระบบธนาคารกลางสหรัฐ[460]19982013เปลี่ยนแปลง
ทุกครอบครัว$102,500$81,200-20.8%
รายได้ต่ำสุด 20%$8,300$6,100-26.5%
รายได้ต่ำสุดรองลงมา 20%$47,400$22,400-52.7%
รายได้กลาง 20%$76,300$61,700-19.1%
รายได้สูงสุด 10%$646,600$1,130,700+74.9%ความมั่งคั่ง รายได้และภาษี กระจุกสูง กล่าวคือ ประชากรผู้ใหญ่ที่รวยที่สุด 10% ครอบครองความมั่งคั่งครัวเรือนของประเทศ 72% ในขณะที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยครอบครองเพียง 2%[461] ระหว่างเดือนมิถุนายน 2007 ถึงพฤศจิกายน 2008 ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ราคาสินทรัพย์ตกลงทั่วโลก ทรัพย์สินที่ชาวอเมริกันถือครองเสียมูลค่าประมาณหนึ่งในสี่[462] นับแต่ความมั่งคั่งครัวเรือนสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งครัวเรือนลดลง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่นับจากนั้นเพิ่มขึ้น 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐกว่าระดับเมื่อปี 2006[463][464] เมื่อสิ้นปี 2014 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 11.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[465] ลดลงจาก 13.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อสิ้นปี 2008[466]
มีประชากรไร้บ้านแบบมีและไม่มีที่อยู่อาศัยประมาณ 578,424 คนในสหรัฐในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 โดยเกือบสองในสามอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยฉุกเฉินหรือโครงการเคหะช่วงเปลี่ยนสภาพ[467] ในปี 2011 มีเด็ก 16.7 ล้านคนอาศยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มีความปลอดภัยทางอาหาร เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับระดับปี 2007 แม้เด็กสหรัฐเพียง 1.1% หรือ 845,000 คนกินอาหารลดลงหรือมีรูปแบบการกินถูกรบกวนในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนั้น และแทบทั้งสิ้นไม่เป็นแบบเรื้อรัง[468] ตามรายงานปี ค.ศ. 2014 ของกรมสำมะโน ปัจจุบันผู้ใหญ่ตอนต้นหนึ่งในห้าคนยากจน เพิ่มขึ้นจากหนึ่งในเจ็ดในปี 1980[469]
โครงสร้างพื้นฐาน[แก้]การขนส่ง[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: การขนส่งในสหรัฐ
ระบบทางหลวงอินเตอร์สเตตซึ่งมีความยาว 75,440 กิโลเมตร[470]การขนส่งส่วนบุคคลใช้รถยนต์เป็นหลัก สหรัฐมีเครือข่ายถนนสาธารณะของ 6.4 ล้านกิโลเมตร[471] มีระบบทางหลวงที่ยาวที่สุดในโลกแห่งหนึ่งซึ่งยาว 91,700 กิโลเมตร[472] สหรัฐเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดอันดับสองของโลก[473] สหรัฐมีอัตราการเป็นเจ้าของยานพาหนะต่อหัวสูงสุดในโลก โดยมี 765 คันต่ออเมริกัน 1,000 คน[474] ประมาณ 40% ของยานพาหนะส่วนบุคคลเป็นรถตู้, รถอเนกประสงค์ (SUV) หรือรถบรรทุกเบา[475] ผู้ใหญ่อเมริกันโดยเฉลี่ย (นับรวมหมดทั้งผู้ขับและผู้ไม่ขับ) ใช้เวลา 55 นาทีขับรถ เดินทาง 47 กิโลเมตรต่อวัน[476]
การเดินทางไปทำงานในสหรัฐใช้ขนส่งมวลชนประมาณ 9%[477][478] มีการขนส่งสินค้าทางรางอย่างกว้างขวาง แต่มีจำนวนผู้โดยสารค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 31 ล้านคนต่อปี) ใช้รถรางระหว่างนครเดินทาง สาเหตุส่วนหนึ่งเพราะความหนาแน่นของประชากรด้านในแผ่นดินของสหรัฐส่วนใหญ่ต่ำ[479][480] อย่างไรก็ดี จำนวนผู้โดยสารแอมแทร็ก ซึ่งเป็นระบบรางโดยสารระหว่างนครแห่งชาติ เติบโตเกือบ 37% ระหว่างปี 2000 ถึง 2010[481] นอกจากนี้ มีการพัฒนารางเบาเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง ๆ[482] มีการใช้จักรยานไปทำงานเป็นประจำมีน้อยมาก[483]
อุตสาหกรรมสายการบินพลเรือนมีเอกชนเป็นเจ้าของทั้งหมด และส่วนใหญ่เลิกกำกับ (deregulate) ไปตั้งแต่ปี 1978 ขณะที่ท่าอากาศยานสำคัญส่วนมากเป็นของรัฐบาล[484] สายการบินใหญ่สุดในโลกนับจากจำนวนผู้โดยสาร 3 สายเป็นของสหรัฐ; อเมริกันแอร์ไลนส์เป็นที่หนึ่งหลังจากยูเอสแอร์เวย์ซื้อในปี 2013[485] ในจำนวนท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดในโลก 50 แห่ง มี 16 แห่งอยู่ในสหรัฐ รวมทั้งที่หนาแน่นที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติฮาร์ทสฟิลด์–แจ็คสัน แอตแลนตา และอันดับสี่ ท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ในชิคาโก[486] หลังเหตุโจมตี 11 กันยายน 2001 มีการตั้งการความปลอดภัยขนส่งเพื่อตรวจตราท่าอากาศยานและสายการบินพาณิชย์
พลังงาน[แก้]
สายส่งไฟฟ้าของสหรัฐประกอบด้วยสายยาว 300,000 กิโลเมตร มีผู้ดำเนินการประมาณ 500 บริษัท โดยมีบริษัทความเชื่อถือได้ทางไฟฟ้าอเมริกาเหนือ (NERC) เป็นผู้ควบคุมดูแลตลาดพลังงานสหรัฐมีประมาณ 29,000 ชั่วโมงเทระวัตต์ต่อปี[487] การบริโภคพลังงานต่อหัวมี 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันต่อปี คิดเป็นอัตราสูงสุดอันดับ 10 ในโลก ในปี 2005 พลังงาน 40% มาจากปิโตรเลียม 23% จากถ่านหิน และ 22% มาจากแก๊สธรรมชาติ ส่วนที่เหลือมาจากพลังงานนิวเคลียร์และแหล่งพลังงานหมุนเวียน[488] สหรัฐเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมรายใหญ่สุดของโลก[489] สหรัฐมีแหล่งสำรองถ่านหินทั่วโลก 27%[490] สหรัฐเป็นผู้ผลิตแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก[491]
พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทจำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศพัฒนาแล้วอื่นเป็นเวลาหลายทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจากอุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 มีการยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่[492]
การประปาและสุขาภิบาล[แก้]ปัญหาซึ่งมีผลต่อการประปาในสหรัฐรวมถึงภัยแล้งในภาคตะวันตก การขาดแคลนน้ำ มลภาวะ การลงทุนค้าง ความกังวลเกี่ยวกับการหาน้ำได้ของผู้ยากจนที่สุด และกำลังแรงงานที่กำลังเกษียณอย่างรวดเร็ว คาดหมายว่าความแปรผันได้และความรุนแรงของฝนตกที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงขึ้น โดยมีผลลัพธ์ที่อาจร้ายแรงต่อการประปาและมลภาวะที่เกิดจากท่อระบายรวมล้น[493][494]
ภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบเป็นพิเศษต่อชาวอเมริกันร้อยละ 66 ซึ่งชุมชนอาศัยน้ำผิวโลก[495] ในด้านคุณภาพน้ำดื่ม มีความกังวลเกี่ยวกับผลพลอยได้ของการฆ่าเชื้อ ตะกั่ว เพอร์คลอเรตและสารยา แต่โดยทั่วไปน้ำดื่มในสหรัฐมีคุณภาพดี[496]
การศึกษา[แก้]ดูบทความหลักที่: การศึกษาในสหรัฐ
มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียซึ่งทอมัส เจฟเฟอร์สันก่อตั้งในปี 1819 เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในสหรัฐ ในสหรัฐมีการศึกษาที่รัฐบาลให้ทุนสนับสนุนถ้วนหน้า แต่ก็มีสถาบันที่เอกชนให้ทุนสนับสนุนด้วยการศึกษาสาธารณะของสหรัฐมีรัฐบาลรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐวางระเบียบผ่านการจำกัดเงินอุดหนุนของรัฐบาลกลาง รัฐส่วนใหญ่บังคับให้เด็กเข้าศึกษาตั้งแต่อายุหกหรือเจ็ดขวบ (โดยทั่วไปคืออนุบาลหรือเกรด 1) จนอายุได้ 18 ปี (โดยทั่วไปถึงเกรด 12 จบไฮสกูล) บางรัฐอนุญาตให้นักเรียนออกจากโรงเรียนได้เมื่ออายุ 16 หรือ 17 ปี[497]
เด็กประมาณ 12% ลงทะเบียนในโรงเรียนเอกชนวงแคบหรือไม่นิยมนิกาย (nonsectarian) เด็กประมาณ 2% ได้รับการศึกษาที่บ้าน[498] สหรัฐมีรายจ่ายด้านศึกษาธิการต่อนักเรียนหนึ่งคนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก โดยมีรายจ่ายกว่า 11,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนประถมหนึ่งคนในปี 2010 และกว่า 12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนักเรียนไฮสกูลหนึ่งคน[499] นักศึกษาวิทยาลัยสหรัฐประมาณ 80% เข้ามหาวิทยาลัยรัฐ[500]
สหรัฐมีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและรัฐบาลแข่งขันกันจำนวนมาก มหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลกส่วนใหญ่ที่องค์การจัดอันดับต่าง ๆ ทำรายการไว้อยู่ในสหรัฐ[501][502][503] นอกจากนี้ ยังมีวิทยาลัยชุมชนท้องถิ่นซึ่งโดยทั่วไปมีนโยบายรับนักศึกษาที่เปิดกว้างกว่า มีโครงการวิชาการสั้นกว่าและค่าเรียนน้อยกว่า ชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป 84.6% จบไฮสกูล 52.6% เข้าวิทยาลัย 27.2% สำเร็จปริญญาตรี และ 9.6% สำเร็จปริญญาบัณฑิต (graduate degree)[504] อัตราการรู้หนังสือขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณ 99%[187][505]สหประชาชาติกำหนดให้สหรัฐมีดัชนีการศึกษา 0.97% อยู่อันดับที่ 12 ในโลก[506]
สำหรับรายจ่ายสาธารณะในด้านอุดมศึกษา สหรัฐยังตามหลังประเทศ OECD บางประเทศ แต่คิดเป็นรายจ่ายต่อหัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD และมากกว่าทุกประเทศในรายจ่ายภาครัฐและเอกชนรวมกัน[499][507] ในปี 2012 หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าชาวอเมริกันที่เป็นหนี้บัตรเครดิต[508]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสหรัฐ และ ประวัติศาสตร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของสหรัฐ
นักบินอวกาศเจมส์ เออร์วินกำลังเดินบนดวงจันทร์ถัดจากส่วนลงจอดและยานสำรวจดวงจันทร์ของอะพอลโล 15 ในปี ค.ศ. 1971 ความพยายามไปดวงจันทร์เป็นผลมาจากการแข่งขันอวกาศสหรัฐเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และการวิจัยวิทยาศาสตร์ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 สหรัฐพัฒนาวิธีการผลิตชิ้นส่วนสับเปลี่ยนได้โดยคลังอาวุธกลาง กระทรวงสงครามสหรัฐ ระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทคโนโลยีดังกล่าว ร่วมกับการสถาปนาอุตสาหกรรมเครื่องมือกล ทำให้สหรัฐผลิตเครื่องจักรเย็บผ้า จักรยานและสินค้าอื่นขนาดใหญ่ได้ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และกลายมาเป็นระบบการผลิตแบบอเมริกา มีการติดตั้งไฟฟ้าในโรงงานในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการริเริ่มสายการผลิตและเทคนิคประหยัดแรงงานแบบอื่นก่อให้เกิดระบบที่เรียก การผลิตขนานใหญ่ (mass production)[509]
ในปี ค.ศ. 1876 อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐครั้งแรกสำหรับโทรศัพท์ ห้องปฏิบัติการของทอมัส เอดิสันได้พัฒนาหีบเสียง หลอดไฟที่ใช้ได้นานหลอดแรกและกล้องภาพยนตร์ที่ทำงานได้ตัวแรก[510] ซึ่งการพัฒนากล้องดังกล่าวทำให้เกิดอุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลก ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริษัทรถยนต์ของแรนซัม อี. โอลส์และเฮนรี ฟอร์ดทำให้สายการผลิตเป็นที่นิยม ในปี 1903 พี่น้องตระกูลไรต์ขับเครื่องบินครั้งแรกโดยใช้เครื่องบินพลังงานที่หนักกว่าอากาศแบบคงทนและควบคุมได้[511]
ความรุ่งเรืองของฟาสซิสต์และนาซีในคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยุโรปจำนวนมาก รวมทั้ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เอนรีโก แฟร์มี และจอห์น ฟอน นอยมันน์เข้าเมืองสหรัฐ[512] ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการแมนฮัตตันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ นำไปสู่ยุคอะตอม ขณะที่การแข่งขันด้านอวกาศสร้างความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านจรวด, วัสดุศาสตร์ และวิชาการบิน[513][514]
การประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ทั้งหมด นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีจำนวนมากและการขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอย่างสำคัญ[515][516][517] จากนั้นนำไปสู่การก่อตั้งบริษัทและภูมิภาคเทคโนโลยีใหม่จำนวนมากรอบประเทศ อย่างเช่น ในซิลิคอนแวลลีย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การก้าวหน้าของบริษัทไมโครโปรเซสเซอร์อเมริกาอย่างแอดแวนซ์ไมโครดีไวซ์ (AMD) และอินเทลร่วมกับทั้งก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซึ่งรวมอะโดบีซิสเต็มส์ บริษัทแอปเปิล ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟท์และซันไมโครซิสเต็มส์และทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม มีการพัฒนาอาร์ปาเน็ต (ARPANET) ในคริสต์ทศวรรษ 1960 เพื่อให้บรรลุข้อกำหนดของกระทรวงกลาโหม และกลายเป็นชุดเครือข่ายชุดแรกซึ่งพัฒนาเป็นอินเทอร์เน็ต[518]
ความก้าวหน้าดังนี้นำไปสู่การทำให้มีลักษณะบุคคลซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการใช้ของปัจเจก[519] ในปี ค.ศ. 2013 ครัวเรือนอเมริกัน 83.8% เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 73.3% มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง[520] ชาวอเมริกัน 91% ยังมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013[521]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ทุนวิจัยและพัฒนาประมาณสองในสามมาจากภาคเอกชน[522] สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านงานวิจัยวิทยาศาสตร์และอิมแพกแฟกเตอร์ (impact factor)[523]
สุขภาพ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: สาธารณสุขในสหรัฐ, การปฏิรูปสาธารณสุขในสหรัฐ และ ประกันสุขภาพในสหรัฐ
โรงพยาบาลนิวยอร์ก-เพรสไบทีเรียนในนครนิวยอร์กเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสหรัฐมีความคาดหมายการคงชีพที่ 79.8 ปีเมื่อเกิด เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี ค.ศ. 1990[524][525][526] อัตราภาวะการตายของทารกอยู่ที่ 6.17 คนต่อ 1,000 คน ทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 56 นับจากต่ำสุดจากทั้งหมด 224 ประเทศ[527]
การเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในสหรัฐและการปรับปรุงสุขภาพในด้านอื่นมีส่วนลดอันดับการคาดหมายการคงชีพจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี ค.ศ. 1987 เหลือ 42 ในปี ค.ศ. 2007[528] อัตราโรคอ้วนในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก[529][530] ประชากรผู้ใหญ่ประมาณหนึ่งในสามอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน[531]บุคลากรสาธารณสุขถือว่าเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนเป็นโรคระบาด[532]
ในปี ค.ศ. 2010 โรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังและอุบัติเหตุจราจรเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในสหรัฐ การเจ็บหลังส่วนล่าง โรคซึมเศร้า โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การปวดคอและความวิตกกังวลเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีแก่ทุพพลภาพมากที่สุด ปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุด ได้แก่ อาหารเลว การสูบบุหรี่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ภาวะน้ำตาลสูงในเลือด การขาดการออกกำลังกายและการใช้แอลกอฮอล์ โรคอัลไซเมอร์ การใช้ยาเสพติด โรคไตและมะเร็ง และการพลัดตกหกล้มเป็นสาเหตุทำให้เสียจำนวนปีของชีวิตมากที่สุดในอัตราต่อหัวปรับตามอายุปี ค.ศ. 1990[526] อัตราการตั้งครรภ์และการแท้งในวัยรุ่นสหรัฐสูงกว่าประเทศตะวันตกอื่นอย่างสำคัญ โดยเฉพาะในหมู่คนดำและฮิสแปนิก[533]
สหรัฐเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ สหรัฐพัฒนาแต่ผู้เดียวหรือมีส่วนร่วมอย่างสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ตามการสำรวจความเห็นแพทย์ปี ค.ศ. 2001 ส่วนสหภาพยุโรปและสวิสเซอร์แลนด์ร่วมกันมีส่วนร่วม 5 นวัตกรรม[534] ตั้งแต่ปี 1966 มีชาวอเมริกันได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์มากกว่าประเทศอื่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 ถึงปี ค.ศ. 2002 มีการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามากกว่าทวีปยุโรปสี่เท่า[535] ระบบสาธารณสุขของสหรัฐใช้เงินมากกว่าประเทศอื่นมากเมื่อวัดทั้งรายจ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี[536]
การคุ้มครองสาธารณสุขในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามของภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี ค.ศ. 2014 ประชากร 13.4 % ไม่มีประกันสุขภาพ[537] หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญ[538][539] ในปี ค.ศ. 2006 รัฐแมสซาชูเซตส์เป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า[540] กฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านในช่วงต้นปี 2010 มุ่งสร้างระบบประกันสุขภาพเกือบถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบบั้นปลายของมันยังเป็นข้อถกเถียงอยู่[541][542]
วัฒนธรรม[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วัฒนธรรมสหรัฐ, ชั้นทางสังคมในสหรัฐ, วันหยุดสาธารณะในสหรัฐ และ การท่องเที่ยวในสหรัฐสหรัฐเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ[13][543] นอกเหนือจากประชากรอเมริกันพื้นเมือง ชาวฮาวายพื้นเมืองและชาวอะแลสกาพื้นเมือง อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทั้งหมดตั้งรกรากหรือเข้าเมืองภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา[544] วัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากประเพณีของผู้เข้าเมืองชาวยุโรปที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ประเพณีที่ทาสจากทวีปแอฟริกานำเข้ามา[13][545] การเข้าเมืองล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่เรียกว่าเป็นทั้งหม้อหลอมเป็นเนื้อเดียวกันและชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น[13]
แกนของวัฒนธรรมอเมริกันก่อตั้งขึ้นโดยชาวอาณานิคมบริติชโปรเตสแตนต์ และเป็นรูปเป็นร่างจากกระบวนการการตั้งถิ่นฐานชายแดน โดยมีลักษณะชาติพันธุ์ที่ถูกแปลงผ่านลงไปที่ลูกหลาน และส่งต่อไปยังผู้เข้าเมืองผ่านทางการผสมกลมกลืน ชาวอเมริกันแต่เดิมมีคุณสมบัติจริยธรรมการทำงานที่เข้มแข็ง ความชอบแข่งขัน และปัจเจกนิยม[546] เช่นเดียวกับความเชื่อหนึ่งเดียวใน "หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ ความเสมอภาค ทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาธิปไตย นิติธรรม และความนิยมการปกครองที่จำกัด[547] ชาวอเมริกันมีใจกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก ตามการศึกษาของบริติชในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP ให้การกุศล มากกว่าประเทศอื่น ๆ มากกว่าบริติชที่อยู่อันดับสองที่ 0.73 % ถึงสองเท่า และประมาณสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%[548][549]
ฝันอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันมีการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมสูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้เข้าเมือง[550] ไม่ว่าการรับรู้นี้เป็นจริงหรือไม่ยังเป็นหัวข้อการอภิปราย[551][552][553][554][413][555] แม้วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น[556] แต่นักวิชาการระบุความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างชนชั้นทางสังคมต่าง ๆ ของประเทศ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคม ภาษาและค่านิยม[557] ภาพลักษณ์ตนเอง มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชาวอเมริกันเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขาในระดับที่ใกล้ชิดผิดปกติ[558] แม้ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้คุณค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม แต่โดยทั่วไปก็มองว่าการเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ยเป็นคุณลักษณะในทางบวก[559]
อาหาร[แก้]
พายแอปเปิลเป็นอาหารที่ปกติสัมพันธ์กับอาหารอเมริกันอาหารอเมริกันกระแสหลักคล้ายกับอาหารในประเทศตะวันตกอื่น ข้าวสาลีเป็นธัญพืชหลัก โดยผลิตภัณฑ์ธัญพืชประมาณสามในสี่ทำจากแป้งข้าวสาลี[560] และอาหารหลายชนิดใช้ส่วนประกอบพื้นเมือง เช่น ไก่งวง เนื้อกวาง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด น้ำเต้าและน้ำเชื่อมเมเปิลซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปสมัยแรกเริ่มบริโภค[561] อาหารที่ปลูกในท้องถิ่นนี้ถือเป็นเมนูของชาติร่วมกันในวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นวันหยุดยอดนิยมวันหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งชาวอเมริกันบางส่วนประกอบอาหารตามประเพณีเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสนั้น[562]
อาหารอันเป็นลักษณะ เช่น พายแอปเปิล ไก่ทอด พิซซา แฮมเบอร์เกอร์และฮอตดอกมาจากตำรับของผู้เข้าเมืองต่าง ๆ มันฝรั่งทอด อาหารเม็กซิกันอย่างเบอร์ริโตและทาโก และอาหารพาสตาซึ่งรับมาจากแหล่งของอิตาลีอย่างอิสระมีการบริโภคอย่างแพร่หลาย[563] ชาวอเมริกันดื่มกาแฟมากกว่าชาสามเท่า[564] การตลาดโดยอุตสาหกรรมสหรัฐเป็นเหตุหลักให้ผลิตน้ำส้มและนม เครื่องดื่มอาหารเช้าที่พบทั่วไป[565][566]
อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนของสหรัฐ ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก[567] นำร่องรูปแบบขับผ่าน (drive-through) ในคริสต์ทศวรรษ 1940[568]การบริโภคอาหารจานด่วนทำให้เกิดความกังวลด้านสุขภาพ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1980 และ 1990 การบริโภคแคลอรีของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 24%[563] การกินอาหารที่ร้านอาหารจานด่วนบ่อยขึ้นสัมพันธ์กับที่ข้าราชการสาธารณสุขเรียกว่า "โรคอ้วนระบาด" ของอเมริกา[569] น้ำอัดลมใส่น้ำตาลสูงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเครื่องดื่มใส่น้ำตาลคิดเป็นร้อยละ 9 ของการรับแคลอรีของชาวอเมริกัน[570]
ภาพยนตร์[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: ภาพยนตร์ของสหรัฐ
ป้ายฮอลลีวูดในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียฮอลลีวูด ย่านตอนเหนือของลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้นำในด้านการผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง[571] นิทรรศการภาพยนตร์พาณิชย์แห่งแรกของโลกจัดขึ้นในนครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้ไคนีโตสโคปของทอมัส เอดิสัน[572] ปีถัดมามีการจัดแสดงพาณิชย์ครั้งแรกซึ่งภาพยนตร์ฉาย (projected film) ในนิวยอร์กเช่นกัน และสหรัฐเป็นแนวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในหลายศวรรษถัดมา ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในและรอบฮอลลีวูด แม้ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 จะมีภาพยนตร์ที่มิได้ผลิตที่นี่เพิ่มขึ้น และบริษัทภาพยนตร์ต่างได้รับอิทธิพลจากแรงของโลกาภิวัฒน์[573]
ผู้กำกับ ดี. ดับเบิลยู. กริฟฟิท ผู้ผลิตภาพยนตร์อันดับหนึ่งของสหรัฐระหว่างยุคภาพยนตร์เงียบ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของไวยากรณ์ภาพยนตร์ และผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ วอลต์ ดิสนีย์เป็นผู้นำทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันและการขายภาพยนตร์[574] ผู้กำกับอย่างจอห์น ฟอร์ดขัดเกลาภาพของอเมริกันโอลด์เวสต์และประวัติศาสตร์ และเช่นเดียวกับผู้อื่นอย่างจอห์น ฮิวสตันขยายโอกาสของภาพยนตร์ด้วยการถ่ายทำสถานี โดยมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้กำกับสมัยหลัง อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีปีทอง เรียกกันทั่วไปว่า "ยุคทองของฮอลลีวูด" ตั้งแต่สมัยเสียงตอนต้นถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960[575] โดยมีนักแสดงอย่างจอห์น เวย์นและมาริลิน มอนโรกลายเป็นบุคคลสัญรูป[576][577]ในคริสต์ทศวรรษ 1970 ผู้กำกับภาพยนตร์อย่างมาร์ติน สกอร์เซซี, ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา และรอเบิร์ต แอลท์แมนเป็นส่วนสำคัญในสิ่งที่ต่อมาเรียก "ฮอลลีวูดใหม่" หรือ "ฮอลลีวูดเรอเนซองส์"[578] ภาพยนตร์อาจหาญซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาพสัจนิยมของฝรั่งเศสและอิตาลีของสมัยหลังสงคราม[579] นับแต่นั้น ผู้กำกับอย่างสตีเฟน สปีลเบิร์ก, จอร์จ ลูคัสและเจมส์ แคเมรอนได้รับชื่อเสียงจากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ ซึ่งมีลักษณะค่าถ่ายทำสูง และได้รับรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศตอบแทน โดยภาพยนตร์ อวตาร ของแคเมรอน (2009) ได้รับรายได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[580]
ภาพยนตร์สำคัญที่ติดอันดับเอเอฟไอ 100 ของสถาบันภาพยนตร์อเมริกันรวมถึง ซิติเซนเคน ของออร์สัน เวลส์ (1941) ซึ่งมักถูกกล่าวขานบ่อย ๆ ว่าเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล[581][582] คาซาบลังกา (1942), เดอะ ก็อดฟาเธอร์ (1972), วิมานลอย (1939), เดอะวิซาร์ดออฟออซ (1939), เดอะแกรดูเอท (1967), ออนเดอะวอเทอร์ฟรอนต์ (1952), ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม (1993), ซิงกิงอินเดอะเรน (1952), อิตส์อะวันเดอร์ฟูลไลฟ์ (1946) และ ซันเซ็ตบูลละวาร์ด (1950)[583] สำนักศิลป์และศาสตร์ภาพยนตร์จัดรางวัลอะคาเดมี ที่นิยมเรียกว่า ออสการ์ ทุกปีตั้งแต่ปี 1929[584] และรางวัลลูกโลกทองคำจัดทุกปีนับแต่เดือนมกราคม 1944[585]
วรรณกรรม ปรัชญา และศิลปะ[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: วรรณคดีอเมริกัน, ปรัชญาอเมริกัน, ทัศนศิลป์สหรัฐ และ ดนตรีคลาสสิกอเมริกัน
มาร์ก ทเวน นักประพันธ์และนักเขียนเรื่องขบขันชาวอเมริกันในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศิลปะและวรรณกรรมอเมริกันรับเจตนารมณ์ส่วนใหญ่จากทวีปยุโรป นักเขียนอย่างแนแธเนียล ฮอว์ธอร์น, เอดการ์ แอลลัน โพและเฮนรี เดวิด ทอโรสถาปนาเสียงวรรณกรรมอเมริกันที่โดดเด่นราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มาร์ก ทเวนและกวี วอลท์ วิทแมน เป็นบุคคลสำคัญในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ; เอมิลี ดิกคินสัน ซึ่งแทบไม่มีผู้ใดรู้จักเธอครั้งยังมีชีวิต ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นกวีอเมริกันคนสำคัญ[586] งานที่ถูกมองว่าเป็นการจับภาพลักษณะพื้นฐานของประสบการณ์และคุณลักษณะของชาติ เช่น โมบิดิก ของเฮอร์แมน เมลวิลล์ (1851) การผจญภัยของฮักเคิลเบอร์รี ฟินน์ ของทเวน (1885) และรักเธอสุดที่รัก (The Great Gatsby) ของเอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์(1925) อาจได้รับขนานนามว่า "นวนิยายอเมริกันยิ่งใหญ่"[587]
พลเมืองสหรัฐสิบสองคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ล่าสุดคือ บ็อบ ดิลลันในปี 2016 วิลเลียม ฟอล์คเนอร์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์และจอห์น สไตน์เบ็คมักจะมีชื่ออยู่ในหมู่นักเขียนที่มีอิทธิพลสูงสุดของคริสต์ศตวรรษที่ 20[588] ประเภทของวรรณกรรมยอดนิยม เช่น ตะวันตกและบันเทิงคดีอาชญากรรม ฮาร์ดบอยด์ ที่พัฒนาในสหรัฐ นักเขียนรุ่นบีต (Beat Generation) เปิดแนวทางวรรณกรรมใหม่ ซึ่งมีผู้ประพันธ์หลังสมัยใหม่ เช่น จอห์น บาร์ท, ทอมัส พินชอนและดอน เดอลิลโล[589]
นักคตินิยมเหนือเหตุผลซึ่งมีทอโรและราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สันเป็นผู้นำ สถาปนาขบวนการปรัชญาอเมริกันสำคัญขบวนการแรก หลังสงครามกลางเมือง ชาลส์ แซนเดอร์ เพิร์ซ และวิลเลียม เจมส์และจอห์น ดูอีในขณะนั้นเป็นหัวหน้าในการพัฒนาปฏิบัตินิยม ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 งานของดับเบิลยู. วี. โอ. ไควน์และริชาร์ด รอร์ที และต่อมา โนม ชัมสกี นำปรัชญาวิเคราะห์มาสู่ส่วนหน้าของวิชาการปรัชญาอเมริกัน จอห์น รอวส์และรอเบิร์ต โนซิกนำการรื้อฟื้นปรัชญาการเมือง คอร์เนล เวสต์และจูดิท บัตเลอร์นำประเพณีแห่งทวีปในวิชาการปรัชญาอเมริกัน นักเศรษฐศาสร์สำนักชิคาโกอย่างมิลตัน ฟรีดแมน, เจมส์ บี. บิวแคนอนและทอมัส โซลกระทบต่อสาขาต่าง ๆ ในปรัชญาสังคมและการเมือง[590][591]
ในด้านทัศนศิลป์ สกุลศิลปะลุ่มแม่น้ำฮัดสันเป็นขบวนการสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในด้านประเพณีของธรรมชาตินิยมแบบยุโรป จิตรกรรมสัจนิยมของทอมัส เอคินส์ปัจจุบันเป็นที่ยกย่องอย่างแพร่หลาย อาร์เมอรีโชว์ปี 1913 ในนครนิวยอร์ก นิทรรศการศิลปะสมัยใหม่แบบยุโรป ทำให้สาธารณะประหลาดใจและเปลี่ยนฉากศิลปะของสหรัฐ[592] จอร์เจีย โอคีฟ, มาร์สเดน ฮาร์ตลีย์และอื่น ๆ ได้ทดลองกับลีลาปัจเจกนิยมแบบใหม่ ขบวนการทางศิลปะที่สำคัญเช่น ลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรมของแจ็กสัน พอลล็อกและวิลเลิม เดอ โกนิง และศิลปะประชานิยมของแอนดี วอร์ฮอลและรอย ลิกเทนสไตน์พัฒนาในสหรัฐเป็นส่วนมาก กระแสของนวนิยมและหลังยุคนวนิยมได้นำชื่อเสียงให้กับสถาปนิกอเมริกัน เช่น แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์, ฟิลิป จอห์นสันและแฟรงก์ เกห์รี[593] ชาวอเมริกันมีความสำคัญในสื่อภาพถ่ายศิลปะสมัยใหม่แต่ช้านาน โดยมีช่างภาพคนสำคัญอย่างอัลเฟรด สติกกลิซ, เอ็ดเวิร์ด สไตน์เคนและแอนเซล แอดัมส์[594]
ไทม์สแควร์ในนครนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางย่านโรงละครบรอดเวย์[595]ผู้ส่งเสริมสำคัญคนแรก ๆ ของโรงละครอเมริกัน คือ พี. ที. บาร์นัม ผู้เริ่มดำเนินงานศูนย์ความบันเทิงแมนฮัตตันตอนล่างในปี 1841 ทีมแฮร์ริแกนและฮาร์ตผลิตสุขนาฏกรรมดนตรีอันเป็นที่นิยมเป็นชุดในนิวยอร์กเริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1870 ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 รูปแบบดนตรีสมยัใหม่ถือกำเนิดขึ้นในบรอดเวย์; เพลงของคีตกวีละครเพลง เช่น เออร์วิง เบอร์ลิน, โคล พอร์เตอร์ และ สตีเฟน ซอนไฮม์กลายเป็นมาตรฐานป๊อป นักเขียนบทละคร ยูจีน โอนีลได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1936; นักเขียนบทละครสหรัฐอื่น ๆ ที่ได้รับการยกย่อง รวมถึงผู้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์หลายสมัย เทนเนสซี วิลเลียมส์, เอ็ดเวิร์ด อัลบีและออกัส วิลสัน[596]
แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันน้อยในขณะนั้น แต่งานของ ชาลส์ ไอฟส์ในคริสต์ทศวรรษ 1910 ทำให้เขากลายเป็นนักแต่งเพลงคนแรกที่สำคัญของสหรัฐในประเพณีคลาสสิก ขณะที่นักทดลอง เช่น เฮนรี เคาเอิล (Henry Cowell) และจอห์น เคจ สร้างแนวทางอเมริกันที่โดดเด่นให้กับเพลงประพันธ์คลาสสิก แอรอน โคปลันด์และจอร์จ เกิร์ชวินพัฒนาภาวะสังเคราะห์ใหม่ของดนตรีป๊อบและคลาสสิก
นักออกแบบท่าเต้น อิซาดอรา ดันแคน และมาร์ธา เกรแฮมช่วยสร้างการเต้นรำสมัยใหม่ ในขณะที่จอร์จ บาลานไชน์และเจอโรม รอบบินส์ เป็นผู้นำบัลเลต์คริสต์ศตวรรษที่ 20
กีฬา[แก้]ดูเพิ่มเติมที่: กีฬาในสหรัฐ
กีฬายอดนิยมของสหรัฐสี่อย่าง ได้แก่ อเมริกันฟุตบอล เบสบอลบาสเกตบอลและฮอกกี้น้ำแข็ง[597]อเมริกันฟุตบอลในด้านต่าง ๆ เป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุด[598] เนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) มีผู้ชมเฉลี่ยของลีกกีฬาสูงสุดในโลกทุกชนิด และซูเปอร์โบวล์มีผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลก เบสบอลถือเป็นกีฬาประจำชาติสหรัฐตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยที่เมเจอร์ลีกเบสบอล (MLB) เป็นลีกสูงสุด บาสเกตบอลและฮ็อกกีน้ำแข็งเป็นกีฬาทีมอาชีพอันดับต้น ๆ อีกสองชนิด โดยมีลีกสูงสุดคือ สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA) และลีกฮอกกี้แห่งชาติ (NHL) ฟุตบอลวิทยาลัยและบาสเกตบอลดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก[599] ในกีฬาฟุตบอล สหรัฐจัดฟุตบอลโลก 1994 ทีมฟุตบอลแห่งชาติประเภทชายเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 10 ครั้ง และทีมหญิงชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลในสหรัฐ (มีทีมอเมริกัน 19 ทีม และแคนาดา 3 ทีม) ตลาดกีฬาอาชีพในสหรัฐมีมูลค่าประมาณ 69,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหญ่กว่าตลาดทั้งทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริการวมกันประมาณ 50%[600]
มีการจัดกีฬาโอลิมปิกแปดครั้งในสหรัฐ ในปี 2014 สหรัฐได้เหรียญรางวัล 2,400 เหรียญในโอลิมปิกฤดูร้อนมากกว่าทุกประเทศ และ 281 เหรียญในโอลิมปิกฤดูหนาว มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากประเทศนอร์เวย์[601] แม้ว่ากีฬาสำคัญของสหรัฐส่วนมากมาจากทว่ปยุโรป แต่กีฬาบาสเกตบอล วอลเลย์บอล สเกตบอร์ดและสโนว์บอร์ดเป็นประดิษฐกรรมของสหรัฐ ซึ่งบางชนิดยังได้รับความนิยมในประเทศอื่นด้วย ลาครอสและโต้คลื่นมาจากกิจกรรมของอเมริกันพื้นเมืองและฮาวายพื้นเมืองซึ่งมีมาก่อนการติดต่อของชาวตะวันตก[602] กีฬาเดี่ยวที่มีผู้ชมมากที่สุด ได้แก่ กอล์ฟและการแข่งรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาสคาร์[603][604] รักบี้ยูเนียนถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐ โดยมีผู้เล่นลงทะเบียนกว่า 115,000 คนและมีผู้เข้าร่วมอีก 1.2 ล้านคน[605]
ดนตรี[แก้]
รางวัลแกรมมีเป็นรางวัลที่มอบให้ศิลปินดนตรีชั้นนำลีลาจังหวะและเนื้อร้องของดนตรีแอฟริกันอเมริกันมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อดนตรีอเมริกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มันแตกต่างจากดนตรียุโรป ดนตรีส่วนที่มาจากสำนวนชาวบ้านอย่างบลูส์และที่ปัจจุบันเรียก ดนตรีโอลด์ไทม์ (old-time) นั้นได้รับมาและแปลงเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมกับผู้ชมทั่วโลก แจ๊สประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลอย่างหลุยส์ อาร์มสตรองและดุ๊ก เอลลิงตันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ดนตรีคันทรีพัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1920 และบลูส์ในคริสต์ทศวรรษ 1940[606]
เอลวิส เพรสลีย์และชัค เบอร์รีเป็นผู้บุกเบิกร็อกแอนด์โรลช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 ในคริสต์ทศวรรษ 1960 บ๊อบ ดีแลนถือกำเนิดขึ้นจากการรื้อฟื้นดนตรีชาวบ้านจนกลายเป็นผู้เขียนเพลงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดคนหนึ่งของสหรัฐ และเจมส์ บราวน์นำการพัฒนาดนตรีฟังก์ การสร้างสรรค์ของสหรัฐช่วงหลัง ๆ รวมถึงฮิปฮอปและดนตรีเฮาส์ ดาราป๊อปอย่างเพรสลีย์, ไมเคิล แจ็กสันและมาดอนนากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทั่วโลก[606] เช่นเดียวกับศิลปินดนตรีร่วมสมัยอย่างเทย์เลอร์ สวิฟต์, บริตนีย์ สเปียส์, เคที เพอร์รีและบียอนเซ่ ตลอดจนศิลปินฮิปฮอป เจย์-ซี, เอ็มมิเน็มและคานเย เวสต์[607] วงร็อกอย่างเมทัลลิกา ดิอีเกิลส์และแอโรสมิธมียอดขายทั่วโลกสูงสุดอันดับต้น ๆ[608][609][610]
สื่อ[แก้]ดูบทความหลักที่: สื่อในสหรัฐ
สำนักงานใหญ่ของ บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) ในเมืองนิวยอร์กผู้แพร่สัญญาณสี่รายหลักในสหรัฐ ได้แก่ บริษัทแพร่สัญญาณแห่งชาติ (NBC), ระบบแพร่สัญญาณโคลัมเบีย (CBS), บริษัทแพร่สัญญาณอเมริกัน (ABC) และฟ็อกซ์ เครือข่ายโทรทัศน์แพร่สัญญาณสี่รายหลักของสหรัฐเป็นเครือข่ายพาณิชย์ทั้งสิ้น ชาวอเมริกันฟังรายการวิทยุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นราชการพาณิชย์ โดยเฉลี่ยกว่าสองชั่วโมงครึ่งต่อวัน[611]
ในปี 1998 สถานีวิทยุพาณิชย์ของสหรัฐเติบโตเป็นสถานีเอเอ็ม 4,793 สถานีและเอฟเอ็ม 5,662 สถานี นอกจากนี้ ยังมีสถานีวิทยุสาธาณะ 1,460 สถานี สถานีเหล่านี้ส่วนมากมีมหาวิทยาลัยและองค์การรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการศึกษาและมีเงินทุนจากสาธารณะหรือเอกชน การรับสมาชิกและการรับประกันภัยของบริษัท เอ็นพีอาร์เป็นผู้แพร่สัญาณวิทยุสาธารณะจำนวนมาก (เดิมคือ วิทยุสาธารณะแห่งชาติ) เอ็นพีอาร์ถูกก่อตั้งเป็นบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 1970 ภายใต้รัฐบัญญัติการแพร่สัญญาณสาธารณะปี 1967 องค์การโทรทัศน์ พีบีเอส ก็ถูกก่อตั้งขึ้นจากกฎหมายฉบับเดียวกัน ในวันที่ 30 กันยายน 2014 มีสถานีวิทยุเต็มกำลังจดทะเบียน 15,433 สถานีในสหรัฐตามข้อมูลของคณะกรรมการการสื่อสารกลางสหรัฐ (FCC)[612]
หนังสือพิมพ์ขึ้นชื่อรวมถึง เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, เดอะนิวยอร์กไทมส์และยูเอสเอทูเดย์[613] แม้ว่าค่าใช้จ่ายของการจัดพิมพ์เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาของหนังสือพิมพ์โดยทั่วไปยังต่ำอยู่ ทำให้หนังสือพิมพ์อาศัยรายรับจากการโฆษณามากขึ้นและบทความที่บริการสายข่ายหลักจัดหาให้ เช่น แอสโซซิเอเต็ดเพรสหรือรอยเตอส์ สำหรับความครอบคลุมระดับชาติและโลก หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในสหรัฐเป็นของเอกชน ไม่ว่าเป็นลูกโซ่ขนาดใหญ่อย่งแกนเน็ตหรือแม็กแคลทชี ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์หลายสิบหรือหลายร้อยฉบับ ลูกโซ่ขนาดเล็กซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่ง หรือมีปัจเจกบุคคลหรือครอบครัวเป็นเจ้าของซึ่งพบได้น้อยลงทุกที นครใหญ่มักมี "รายสัปดาห์ทางเลือก" เพื่อส่งเสริมหนังสือพิมพ์รายวันกระแสหลัก ตัวอย่างเช่น เดอะวิลเลจวอยซ์ของนครนิวยอร์ก หรือแอลเอวีกลีของลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสองฉบับที่ขึ้นชื่อมากที่สุด นครหลักยังสนับสนุนวารสารธุรกิจท้องถิ่น หนังสือพิมพ์การค้าซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท้องถิ่น และหนังสือพิมพ์สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์และสังคมท้องถิ่น แถบตลกหนังสือพิมพ์อเมริกันฉบับแรก ๆ และหนังสือการ์ตูนอเมริกันเริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี 1938 ซูเปอร์แมน ซูเปอร์ฮีโรหนังสือการ์ตูนของดีซีคอมิกส์พัฒนาเป็นสัญรูปอเมริกัน[614] นอกเหนือจากเว็บพอร์ทัลและโปรแกรมค้นหา เว็บไซต์ยอดนิยมได้แก่ เฟซบุ๊ก ยูทูป วิกิพีเดีย ยาฮู! อีเบย์ แอมะซอนและทวิตเตอร์[615]
มีสิ่งพิมพ์เผยแพร่กว่า 800 ฉบับผลิตในภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐรองจากภาษาอังกฤษ[616][617]
เชิงอรรถ[แก้]
- ↑ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของ 32 รัฐ ภาษาอังกฤษและฮาวายเป็นภาษาราชการทั้งคู่ในรัฐฮาวาย และภาษาอังกฤษและภาษาเฉพาะถิ่น 20 ภาษาเป็นภาษาราชการในรัฐอะแลสกา ภาษาแอลกองเคียน เชอโรกีและซูเป็นหนึ่งในหลายภาษาราชการในดินแดนที่ชนพื้นเมืองควบคุมทั่วประเทศ ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาโดยพฤตินัยแต่ไม่เป็นทางการในรัฐเมนและลุยเซียนา ส่วนกฎหมายรัฐนิวเม็กซิโกให้ภาษาสเปนมีสถานภาพพิเศษ[2][3]
- ↑ ในห้าดินแดน ภาษาอังกฤษและภาษาเฉพาะถิ่นอย่างน้อยหนึ่งภาษาเป็นภาษาราชการ ได้แก่ ภาษาสเปนในปวยร์โตรีโก, ภาษาซามัวในอเมริกันซามัว, ภาษาชามอร์โรทั้งในเกาะวกมและหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, ภาษาแคโรไลน์ยังเป็นภาษาราชการในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
- ↑ ห้าดินแดนหลักได้แก่ อเมริกันซามัว, กวม, หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา, ปวยร์โตรีโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐ พื้นที่เกาะที่เล็กกว่าสิบเอ็ดพื้นที่ซึ่งไม่มีประชากรถาวร: เกาะเบเกอร์, เกาะฮาวแลนด์, เกาะจาร์วิส, จอห์นสตันอะทอลล์, คิงแมนรีฟ, มิดเวย์อะทอลล์, และแพลไมราอะทอลล์ อำนาจอธิปไตยของสหรัฐเหนือบาโฮนวยโวแบงก์, เกาะนาแวสซา, เซร์รานียาแบงก์และเกาะเวกยังพิพาทอยู่[7]
- ↑ สารานุกรมบริตานิกาแสดงรายการประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับสามของโลก (รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา) โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 9,572,900 ตารางกิโลเมตร[9] และสหรัฐเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับที่ 4 โดยมีพื้นที่ 9,526,468 ตารางกิโลเมตร ตัวเลขของสหรัฐน้อยกว่า เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก เนื่องจากไม่นับรวมน่านน้ำชายฝั่งและน่านน้ำอาณาเขต[10] เดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก แสดงรายการสหรัฐว่าเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับ 3 ของโลก (รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดา) โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 9,833,517 ตารางกิโลเมตร[11] และประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่สุดอันดับที่ 4 โดยมีพื้นที่ 9,596,960 ตารางกิโลเมตร[12] ตัวเลขของสหรัฐนี้มากกว่า สารานุกรมบริตานิกา เนื่องจากไม่นับรวมน่านน้ำชายฝั่งและน่านน้ำอาณาเขต
- ↑ สเปนส่งคณะสำรวจไปอะแลสกาหลายเที่ยวเพื่อยืนยันการอ้างสิทธิ์แต่ช้านานเหนือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งสืบย้อนไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1785–1795 วาณิชบริติชซึ่งได้รับการส่งเสริมจากเซอร์โจเซฟ แบงส์และมีรัฐบาลสนับสนุน พยายามพัฒนาการค้านี้อย่างต่อเนื่องแม้การอ้างสิทธิ์ของสเปนและสิทธิ์การเดินเรือ ความอุตสาหะของวาณิชเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานเมื่อเผชิญกับการคัดค้านของสเปน ความท้าทายยังถูกคัดค้านจากการที่ประเทศญี่ปุ่นถือมั่นในการปิดประเทศอย่างดื้อรั้น[74]
- ↑ แหล่งที่มา: การสำรวจชุมชนอเมริกา 2010 กรมสำมะโนสหรัฐ ผู้ตอบส่วนใหญ่ที่พูดภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษี่บ้านยังรายงานว่าพูดภาษาอังกฤษ "ดี" หรือ "ดีมาก" สำหรับกลุ่มภาษาที่แสดงรายการข้างต้น ผู้พูดภาษาเยอรมันเป็นผู้มีความสามารถภาษาอังกฤษมากที่สุด (96% รายงานว่าพูดภาษาอังกฤษ "ดี" หรือ "ดีมาก") ตามด้วยผู้พูดภาษาฝรั่งเศส (93.5%) ตากาล็อก (92.8%) สเปน (74.1%) เกาหลี (71.5%) จีน (70.4%) และเวียดนาม (66.9%)
- รับยื่นวีซ่าท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมเพื่อนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักเรียนในโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผ่านแดนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่า Transit ประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะสั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าทำงานระยะยาวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าลูกเรือเดินเรือสมุทรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศกรีในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่านักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ประกอบการค้าและนักลงทุนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้เผยแผ่ศาสนาประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแม่บ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าพี่เลี้ยงประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าสื่อข่าวประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าผู้ช่วยทำงานบ้านประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าเยี่ยมญาติประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าถาวรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าแต่งงานประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่หมั้นประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าคู่สมรสประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามบุตรประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ, รับยื่นวีซ่าติดตามสามีประเทศสหรัฐอเมริกาในอำเภ